ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
“นิคคัณเห นิคคะหาระหัง ปัคคันเห ปัคคะหาระหัง : พึงข่มคนที่ควรข่ม พึ่งชมคนที่ควรชม”
หลายท่านคงคุ้นเคยกับคำบาลีข้างต้นมาบ้าง เพราะเป็น “ม็อตโต้” หรือคติพจน์ของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่มีพาดหัวไว้ข้างบนโลโก้หรือตราเครื่องหมายของหนังสือพิมพ์เก่าแก่ฉบับนี้มาตั้งแต่เริ่มแรก ที่นับถึงปีนี้ (ก่อตั้งวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493) ก็จะเป็นเวลา 75 ปี นับว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอายุยืนนานที่สุดของประเทศไทย
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พูดถึงการทำหนังสือพิมพ์สยามรัฐในยุคเริ่มต้นนั้นว่า “เหนื่อยแต่สนุก” เพราะมีคนที่ช่วยกันทำจริงแค่ 5 - 6 คน ไม่นับรวมช่างเรียงและช่างพิมพ์ (ที่ถ้าจะรวมด้วยก็ราว ๆ แค่สิบกว่าคน) แต่นับเฉพาะคนเขียนที่มีอยู่ 4 คน กับนักข่าวอีก 2 คนที่ทำหน้าที่เป็นช่างภาพด้วย และอีกคนหนึ่งเป็นผู้จัดการโรงพิมพ์ คอยดูแลคนงานและจ่ายค่าจ้าง ค่าข้าวของ และดูแลสำนักงาน
หนังสือพิมพ์สยามรัฐยุคนั้นมี 8 หน้า คือ 2 คู่พับกลาง หน้าแรกเป็นพาดหัวข่าวและรูปภาพประกอบ หน้าใน 2 7 และ 8 ที่เป็นแผ่นเดียวกันเป็นข่าวต่อหรือรายละเอียดของข่าวที่พาดหัวในหน้าหนึ่ง ส่วนอีกคู่ที่เป็นหน้าใน 3 4 5 และ 6 จะเป็นคอลัมน์ต่าง ๆ หน้าละ 2 - 3 คอลัมน์ รวมแล้วประมาณ 10 คอลัมน์ ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ต้องเขียนเป็นหลักอยู่วันละ 2 - 3 คอลัมน์ ที่เขียนประจำก็คือบทบรรณาธิการ ที่เป็นการนำประเด็นข่าวที่สำคัญมาวิเคราะห์หรือชี้ประเด็นให้ผู้อ่านได้คิดตาม ซึ่งจะอยู่ในส่วนบนของหน้า 3 ที่มีคนติดตามอ่านจำนวนมาก เพราะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เขียนได้อย่าง “เข้าอกเข้าใจ” และ “ถึงอกถึงใจ” คือรู้ว่าผู้คนกำลังสนใจประเด็นอะไร และแสดงเหตุผลอธิบายประเด็นเหล่านั้นได้ถูกใจผู้อ่าน
อีกคอลัมน์หนึ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ต้องเขียนประจำก็คือบทความใน 5 ซึ่งก็ได้รับความนิยมมาก ๆ โดยเริ่มแรกท่านก็เขียนในเชิงความรู้เบ็ดเตล็ด มีสาระความรู้และสนุกสนาน แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นนิยาย เพราะหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ กำลังขายเรื่องในแนวนิยายนี้ โดยเฉพาะนิยายจีนหรือพงศาวดารจีน ซึ่งท่านก็เคยเขียนมาบ้างแล้ว คือเรื่องเบ้งเฮกผู้ถูกกลืนทั้งเป็น กับเรื่องสามก๊กฉบับนายทุน แต่เมื่อตั้งสยามรัฐแล้วพอจะเขียนนิยาย ท่านก็คิดถึงนิยายแบบไทย ๆ นั่นก็คือที่มาของบทประพันธ์ที่โด่งดังที่สุดและเป็นอมตะของท่าน เรื่อง “สี่แผ่นดิน”
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มักจะบอกใครต่อใครหรือให้สัมภาษณ์กับสาธารณะอยู่เสมอว่า ท่านเขียนเรื่องสี่แผ่นดินจากประสบการณ์ในรั้วในวังของท่าน ที่ได้รับรู้มาจาก “ท่านแม่” หม่อมแดง ปราโมช และญาติ ๆ อีกหลายคน รวมถึงชาวรั้วชาววังจริง ๆ ที่ท่านได้เคยรู้จักมาในสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก และได้เข้าไปเห็นผู้คนในวังต่าง ๆ อยู่หลายแห่ง จึงต้องการถ่ายทอดสิ่งที่ท่านได้รู้ได้เห็นมาเหล่านั้นให้ผู้อ่านสยามรัฐได้รับรู้ร่วมด้วย
เล่ากันว่าคนที่อ่านสี่แผ่นดินในยุคนั้นมีอาการ “เสพติดอย่างงอมแงม” วันไหนไม่ได้อ่านจะมีอาการหงุดหงิดไม่สบายจนถึงอารมณ์เสียโวยวายเอากับคนรอบข้าง หรือไม่เป็นอันทำงานทำการอะไร และโดยที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับบ่าย บางคนก็ไม่ทานอาหารกลางวันจนกว่าจะได้อ่านสี่แผ่นดินแล้ว หรือถ้าวันนั้นค่ำแล้วยังไม่ได้อ่านก็พาลจะทานอาหารเย็นไม่ได้ และเมื่อถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับนั่นเทียว
แต่สิ่งที่น่าจะเป็น “สุดยอด” ของเรื่องสี่แผ่นดิน น่าจะเป็นเรื่อง “อารมณ์ร่วม” ของผู้อ่าน ที่ “อิน” หรือล่องลอยไปตามอารมณ์ของตัวละครในนวนิยายเรื่องนี้ไปจนตลอดเรื่อง โดยเฉพาะ “อิน” หรือรู้สึกตัวว่าเป็น “พลอย” ตัวเอกของเรื่องนี้
ว่ากันว่าเพียงแค่ในตอนแรกที่เปิดฉากขึ้นมา ผู้อ่านก็ร้องไห้สงสารพลอยกับแม่ที่ต้องถูก “ไล่” ให้ออกมาจากบ้านที่คลองบางหลวง ต่อมาเมื่อมาถึงประตูพระบรมมหาราชวังก็ต้องตกใจไปกับพลอยที่ถูกโขลนหรือพนักงานเฝ้าประตูตะคอกไม่ให้เหยียบธรณีประตู แต่พอผ่านประตูเข้าไปได้เห็นสิ่งต่าง ๆ และผู้คนในบริเวณพระบรมมหาราชวังแล้ว อารมณ์ของพลอยก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้น ด้วยความตื่นตาตื่นใจในความมีชีวิตชีวาและความรู้สึกถึง “อีกชีวิตหนึ่ง” ผู้อ่านก็ตื่นเต้นและเปลี่ยนอารมณ์ไปตามพลอยในทันที
ผู้เขียนนั้นตอนที่อ่านเรื่องสี่แผ่นดินครั้งแรก ก็ตอนที่มาได้รู้จักกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ใน พ.ศ. 2519 ที่บ้านสวนพลูนั่นเอง เพราะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้แนะนำว่า ถ้าอยากจะรู้ว่า “คนไทย - ชีวิตไทย” เป็นอย่างไร ก็ให้อ่านเรื่องสี่แผ่นดินนี่แหละ แล้วท่านก็ให้ยืมหนังสือสี่แผ่นดินมาทั้งชุดที่มีอยู่ 2 เล่ม แต่ละเล่มหนาราว 400 – 500 หน้า ที่ถ้าอ่านไปเรื่อย ๆ อย่างที่เคยอ่านหนังสือหนา ๆ แบบนี้ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน แต่ผู้เขียนอ่านเข้าจริง ๆ ก็จบเล่มแรกในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ โดยเล่มแรกมาจบลงที่พลอยได้ไปเฝ้ารอรับเสด็จขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางประชาชนมือฟ้ามัวดินบนถนนราชดำเนิน รวมทั้งดินฟ้าอากาศก็หม่นมัว ทุกแห่งทุกคนเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แม้แต่ทหารที่มายืนเป็นแนวตามถนนราชดำเนินนั้น พลอยมองไปใบหน้าที่เห็นยืนก้มหน้าด้วยความน้อมเคารพนั้น ก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด (นึกถึงภาพในคราวที่คนไทยทั้งแผ่นดินได้ส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่พระบรมศพเคลื่อนจากโรงพยาบาลศิริราชข้ามสะพานพระปิ่นเกล้ามายังพระบรมมหาราชวัง ก็มีบรรยากาศคล้ายกัน กับที่ผู้เขียนและผู้คนจำนวนมากแน่นขนัดสองข้างทางรอส่งพระบรมศพ ซึ่งล้วนแต่มีทุกข์โศกและอาลัยยิ่ง เมื่อนึกถึงพลอยและคนไทยในคราวโน้นก็คงจะมีสภาพอารมณ์เช่นเดียวกันนี้)
ตอนนั้นผู้เขียนมีอายุ 18 ปี เมื่ออ่านเล่มแรกจบแล้วก็ไปบอกให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ทราบ ท่านก็ถามว่าอ่านแล้วเป็นยังไงบ้าง ชอบเรื่องอะไรหรือตอนไหนเป็นพิเศษ ผู้เขียนก็ตอบว่าตอนพลอยรักกับพี่เนื่อง ท่านก็ตบโต๊ะดังปัง แล้วก็พูดขึ้นว่า “นึกไว้แล้ว ว่าวัยรุ่นต้องชอบฉากนี้”
พี่เนื่องนั้นเป็นพี่ชายของช้อย ช้อยเป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพลอย แต่เข้าไปอยู่ในวังก่อนพลอย เมื่อพลอยมาอยู่ในวังก็ได้มาอยู่ตำหนักเดียวกันกับช้อยและสนิทสนมกันมาก วันหนึ่งช้อยพาพลอยกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านของช้อย จึงได้รู้จักกับพี่เนื่อง พี่เนื่องได้กลายเป็น “ภาพฝัน” ของพลอยขึ้นมาทันที (สมัยนี้คงเรียกว่า “ไอดอล”) ต่อมาเมื่อพี่เนื่องต้องไปรับราชการเป็นทหารที่นครสวรรค์ พลอยก็ได้ฝากผ้าแพรไปให้พี่เนื่องไว้ “ต่างตัวต่างใจ” และมีการเขียนจดหมายถึงกันอยู่เป็นระยะ จนวันหนึ่งพลอยไม่ได้รับจดหมายจากพี่เนื่องดังเคย จึงถามช้อยและทราบจากช้อยว่า พี่เนื่อง “ไปได้” กับสาวแม่ค้าที่นครสวรรค์เสียแล้ว พลอยเสียใจมาก และนั่นเป็นครั้งแรกที่พลอยเสียใจอย่างหนัก มากกว่าวันที่เสียท่านพ่อและถูกพี่สาวต่างมารดาไล่ออกจากบ้านพร้อมกับแม่และน้องชายในตอนต้นเรื่องนั้นเสียอีก และเป็นอีกอย่างของความทุกข์ที่ไม่เหมือนกับในวันที่รู้ข่าวว่าแม่ของพลอยเองได้ไปเสียชีวิตที่ฉะเชิงเทรา หลังจากที่มาส่งพลอยเข้าวังแล้ว แม่ก็ไปได้สามีใหม่และทำมาค้าขายอยู่ที่ฉะเชิงเทรานั้น
ผู้เขียนยังบอกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อีกว่า ในฉากที่พลอยร้องไห้อย่างหนักตอนที่ทราบข่าวว่าแม่ตายแล้วนี้ ก็เป็นฉากที่สะเทือนใจมาก ๆ เหมือนกัน คือพลอยพอรู้ว่าแม่ตายก็ร้องไห้ไม่หยุด อย่างที่เรียกว่า “ทั้งวันทั้งคืน” จนถึงขั้น “เสด็จ” ที่ชุบเลี้ยงพลอยให้มาอยู่ในพระตำหนักด้วยนั้นต้องทรงเรียกพลอยมาแล้วทรงปลอบใจ ทรงให้เครื่องประดับที่สวยงามชิ้นหนึ่ง แต่พลอยก็ไม่หยุดร้องไห้ จนเมื่อเสด็จได้ทรงกอดแล้วตรัสขึ้นว่า “ร้องไห้เถิดพลอย ร้องออกมามาก ๆ ฟืนไฟที่เผาไหม้เขาใช้น้ำดับได้ ฟืนไฟในหัวใจ ดับได้ด้วยน้ำตาเท่านั้น”
แน่นอนว่าเสด็จคงไม่ได้ตรัสแบบนี้เพราะเป็นถ้อยคำในนิยาย แต่ต้องเป็นถ้อยคำจากความคิดของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อย่างแน่ ๆ แบบที่เขาเรียกการเขียนแบบนี้ว่า “ขุดหัวใจผู้อ่านออกมาเขียน”