สคร.9 นครราชสีมา ย้ำเตือนอีกครั้ง หลังมีประชาชนกินหมูดิบ หรือหมูที่สุกๆ ดิบๆ แล้วป่วยและตายจากโรคไข้หมูดิบ หรือไข้หูดับอยู่เรื่อยๆ นอกจากหมูดิบแล้ว ยังมีอาหารอื่นๆ ที่กินแล้วเสี่ยงตายไม่แพ้กัน เช่น ลาบเลือดดิบ ก้อยดิบ แหนมหมูดิบ นอกจากผู้ที่กินหมูดิบจะเสี่ยงติดเชื้อแล้ว พ่อครัว แม่ครัว และผู้ปรุงอาหารที่มีบาดแผลแล้วไปสัมผัสเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบๆ ที่มีเชื้อก็เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หมูดิบได้เช่นกัน ดังนั้น ขอย้ำเตือนประชาชน อย่ากินหมูดิบ หรือบีบมะนาวเพื่อให้หมูสุก ส่วนอาหารปิ้งย่างควรแยกอุปกรณ์คีบหมูดิบและหมูสุกออกจากกัน เพราะหากติดเชื้อโรคไข้หมูดิบ แล้วอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน หรือที่เรียกว่าหูดับ จนถึงขั้นหูหนวกถาวร และในรายที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือมีโรคประจำตัวอาจเสียชีวิตได้
วันที่ 19 มิ.ย. นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยว่า โรคไข้หมูดิบ เป็นชื่อโรคเดียวกับ ไข้หูดับ ซึ่งเป็นการตั้งชื่อโรคใหม่ให้สอดคล้องกับสาเหตุเกิดโรค เพื่อให้ประชาชนตระหนักว่าโรคนี้มีหมูเป็นพาหะนำโรค โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1.เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2.การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค โดยเชื้อจะเข้าทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือการสัมผัสเลือดของหมู ที่กำลังป่วย ซึ่งหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-14 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง สูญเสียการได้ยิน ในรายที่เป็นรุนแรงอาจเสียชีวิตได้
สำหรับสถานการณ์โรคไข้หมูดิบ ในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 19 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วย จำนวน 89 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 5 ราย แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้ 1. จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วย 47 ราย อัตราป่วย 1.80 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย 2. จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 17 ราย อัตราป่วย 1.59 ต่อประชากรแสนคน 3.จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 13 ราย อัตราป่วย 0.96 ต่อประชากรแสนคน 4.จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 12 ราย อัตราป่วย 0.77 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุดคือ กลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี และกลุ่มอายุ 45-54 ปี ตามลำดับ
ซึ่งในการป้องกันโรคไข้หมูดิบ ขอให้ประชาชนปฏิบัติตน ดังนี้ 1.รับประทานเนื้อหมู หรือเลือดหมูที่ปรุงสุกเท่านั้น ผ่านความร้อนอย่างน้อย 60-70 องศาเซลเซียส ในเวลา 10 นาที 2. อาหารปิ้งย่าง ควรแยกอุปกรณ์คีบหมูดิบและหมูสุกออกจากกัน และยึดหลัก 'สุก ร้อน สะอาด' 3. ไม่ควรรับประทานหมูดิบร่วมกับการดื่มสุรา 4. เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มาของหมู ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ 5. ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ขณะทำงานควรสวมรองเท้าบูทยาง และสวมถุงมือ หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสหมูทุกครั้ง 6. หากมีอาการป่วย สงสัยโรคไข้หูดับโดยมีไข้สูง ปวดศีรษะ ร่วมกับประวัติเสี่ยง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูดิบให้ทราบ
ทั้งนี้หากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว ได้รับยาปฏิชีวนะเร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรงเนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422