วันที่ 19 มิ.ย.2568 เวลา 08.30 น. ที่รัฐสภา นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 แถลงลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 หลังพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า อย่างที่ได้ทราบกัน และเป็นข่าว เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว หลังจากกรณีที่นายอุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีการพูดถึงตำแหน่งของตนว่าได้มีการพูดคุยกันกับตน เป็นอย่างที่ท่านได้บอกไปว่ามีกันหารือกันกับนยาอนุทินจริงๆ ไม่ใช่เพิ่งจะมีการหารือกันเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ได้เห็นถึงสถานการณ์และเหตุการณ์ทางการเมืองพอประเมินได้ว่าพรรคเราจะเดินทางไปสู่จุดไหนของการเมือง จึงได้มีการหารือกับนายอนุทินว่าในกรณีที่พรรคเราเป็นเสียงส่วนน้อยของสภาฯ หรือฝ่ายค้าน ตนขอลาออกเพื่อที่ไปทำหน้าที่ร่วมกับเพื่อนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะสส.ฝ่ายค้าน ซึ่งนายอนุทินก็ได้ท้วงติงว่าจริงๆ แล้วตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือข้อบังไม่ได้ห้ามให้ตำแหน่งประธานหรือรองประธานสภาฯ ต้องลาออก ในขณะที่ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

นายภราดร กล่าวว่า แต่ต้องขอชี้แจงเหตุผลว่าตนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาราษฎรคนที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2567 แม้ว่าจะไม่มีคู่แข่งขัน แต่เป็นที่รู้กันว่าตนมาจากฟากฝั่งของเสียงข้างมากหรือฟากของฝ่ายรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยได้ประชุมหารือกันและส่งตนไปเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อมาดำรงตำแหน่งนี้ ตนตระหนักดีว่าตนมาจากเสียงข้างมากของสภาฯ และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสภาผู้แทนราษฎรว่าตำแหน่งประธาน รองประธานทั้งสองคนไม่มีที่จะมาจากเสียงข้างน้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีการระบุเอาไว้ในตัวบทกฎหมาย แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเป็นแนวปฏิบัติที่เข้าใจ และถือกันมาเช่นนั้น

นายภราดร กล่าวว่า เมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากเสียงข้างมาก แล้ววันนี้สถานะทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยซึ่งตนสังกัดอยู่ ได้เปลี่ยนสถานะจากเสียงข้างมากไปอยู่ฟากฝั่งของเสียงข้างน้อย ซึ่งเมื่อคืนวันที่ 18 มิ.ย. พรรคภูมิใจไทยโดยการประชุมของกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ได้ประกาศชัดเจนว่าจะถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล รวมถึงลาออกจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของฝ่ายบริหารทั้งหมด นั่นหมายความว่าพรรคภูมิใจไทยได้ถูกเปลี่ยนสถานะจากพรรคเสียงข้างมากไปอยู่ในฟากฝั่งของเสียงข้างน้อยหรือไปเป็นฝ่ายค้าน เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและข้อบังคับไม่ได้ระบุไว้ แต่ด้วยมารยาททางการเมืองและความรับผิดชอบทางการเมืองและเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับสภาผู้แทนราษฎร จำเป็นต้องตัดสินใจ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เพื่อคืนอำนาจให้กับสภาฯในการสรรหาคนที่มีความเหมาะสมจากฟากฝ่ายเสียงข้างมากของสภาฯ เพื่อที่จะมาทำหน้าที่รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ต่อไป

นายภราดร กล่าวต่อว่า จริงๆ ตนตั้งใจจะลาออกในช่วงที่มีการเปิดสมัยประชุมสภาฯ อยู่แล้ว เพราะตั้งใจที่จะใช้เวทีของสภาขอบคุณหลายๆ ส่วน แต่เมื่อสถานการณ์เร่งปฏิกิริยาให้เร็วขึ้น จึงต้องใช้เวทีนี้ตนอยากจะขอบคุณ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่ 1  ที่ตลอดระยะเวลา 9 เดือนกับ 8 วัน ของตนในตำแหน่งหน้าที่ ท่านเอ็นดู เมตตา และให้โอกาสในการที่จะดำเนินนโยบายต่างๆภายใต้ร่มใหญ่ของท่าน นั่นคือ พยายามที่จะทำให้สภาฯเป็นของประชาชนให้ได้ ท่านให้ตนไปดูแลในหลายสำนักงานด้วยกัน ซึ่งตนพยายามที่จะคิดแนวทางและนโยบายหลายอย่างเพื่อที่จะทำให้สภาฯของพวกเราเป็นสภาฯของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกันตนขอขอบคุณเพื่อนสมาชิก ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่ตลอดระยะเวลาการทำหน้าที่ของตน ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ส่วนตัวตน ตนมั่นใจว่าตนทำถูกต้อง ตนขอบคุณที่ทุกคำวินิจฉัยของตนได้รับความเคารพ ความเชื่อถือ จากเพื่อนสมาชิกทั้งฝ่ายค่านและฝ่ายรัฐบาล จริงๆไม่ใช่เคารพในตัวตน แต่เคารพในองค์กรของเราและเคารพในคนที่ทำหน้าที่ประธาน ฉะนั้น จะขาดเสียไม่ได้ ตนขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่น้องๆ ข้าราชการที่อยู่ในสลุ่มงานของตน 10 กว่าชีวิต ซึ่งทำงานกับตนมา 9 เดือนกว่า ด่ากันบ้างทะเลาะกันบ้าง เห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็พยายามที่จะทำงานแนวทางที่ตนได้ดำเนินการและกำหนด ตนเชื่อว่าถ้าตนไม่มีมือไม่มีไม้ คิดอะไรก็คงไม่สามารถทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ รวมถึงขอบคุณข้าราชการทุกคน

“เรารู้ว่าตำแหน่งทางการเมืองแบบนี้อยู่ไม่นาน มีวันมาแล้วก็มีวันไป แต่ทุกคำขอร้อง ทุกแนวทางที่ได้มอบหมาย ให้ไปดำเนินการทุกส่วนของสภาฯ ก็ช่วยดำเนินการตามแนวทางที่ได้มอบหมาย ฉะนั้น จะขาดไม่ได้ตั้งแต่เลขาธิการสภาฯ รองเลขาธิการสภาฯ​ ผู้อำนวยการ ผู้บัญชาการ รวมถึงพี่น้องข้าราชการทั้งหมดที่ได้ช่วยกันผลักดันงานต่างๆให้เดินมาถึงวันนี้ หากผมจะพูดว่าสำเร็จลุล่วง ก็ยังไม่สำเร็จลุล่วงทั้งหมด ขอบคุณพี่น้องผมที่ยืนอยู่ที่นี่พรรคภูมิใจไทยไม่มีพวกเขาก็ไม่มีรองประธานอย่างผม เขาสนับสนุนทุกการทำหน้าที่ของผม วันที่ผมมาดำรงตำแหน่งเขาเข้ามาส่งผม วันนี้วันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง ผมก็เปลี่ยนสถานะก็มารับผมกลับบ้าน ขอบคุณพี่น้องของผมทุกคน และเช่นเดียวกันขอบคุณประชาชนที่ได้ติดตาม การทำหน้าที่ ไม่ใช่แค่ของผมแต่ของสภาฯ และขอให้ติดตามการทำหน้าที่ของสภาฯ ต่อไปนี่คือเสาหลักอีกเสาหนึ่งของประเทศนี้ที่จะทำงานแก้ไขกฎหมายให้กับประชาชน ขอบคุณประชาชนทุกคนที่ได้ติดตามและให้กำลังใจผมมาโดยตลอด ท้ายที่สุดผมขอฝากถึงผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 ต่อจากผม ยังมีอีกหลายภารกิจที่ผมได้รับมอบหมายมาแล้วยังทำไม่เสร็จ ไม่ว่าจะเรื่องพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต พิพิธภัณฑ์ของประชาชนที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นเจ้าของสภาฯ ของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ขอฝากให้ดำเนินการต่อไป” นายภราดร กล่าว

นายภราดร กล่าวว่า วันที่ตนเข้ารับตำแหน่ง ตนได้ประกาศเอาไว้ว่าตนจะไม่เป็นรองประธานของฝ่ายรัฐบาล จะไม่เป็นรองประธานสภาฯ ของพรรคภูมิใจไทย ไม่เป็นรองประธานสภาของเสียงข้างมาก แต่ตนจะเป็นรองประธานสภาฯ ของสมาชิกทั้ง 495 คน วันนี้เป็นเวลา 9 เดือน 8 วัน ตนเชื่อว่าสังคมได้พิพากษาตนมาตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ตนได้ทำหน้าที่อย่างที่ตนได้ประกาศเอาไว้ พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสิน วันนี้ตนลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯคนที่ 2  และคืนอำนาจให้กับสภาฯในการสรรหาคนที่เหมาะสมในการทำหน้าที่นี้ต่อไป ขอย้ำว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่มีใบสั่ง ส่วนพรรคอื่นจะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของแต่ละพรรค