เมื่ออุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) กลายเป็นพลังขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยด้วยข้อมูลการจัดอันดับประเทศและเมืองของ  สมาคมการจัดประชุมนานาชาติ (International Congress and Convention Association: ICCA)   ในรอบปี 2567 โดยมีกรุงเทพฯ ทำสถิติใหม่สู่อันดับ 7 ของโลก ก้าวกระโดดครั้งสำคัญจากอันดับที่ 15 ในปี 2566 ในภาพรวมและยังมีเมืองติดอันดับรวมทั้งสิ้น 13 เมือง ในฐานะเมืองจุดหมายปลายทางการประชุมนานาชาติระดับโลก ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดเท่าที่ไทยเคยทำได้ ซึ่งในเรื่องนี้ ทางสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ  TICA (Thailand Incentive and Convention Association) ที่เป็นหน่วยงานหลักพร้อมจะนำพาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยก้าวไกลไปอีกขั้น โดย นางสาวประชุม ตันติประเสริฐสุข นายกสมาคม TICA ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ

ผลักดันไทยเป็นจุดหมายสำคัญ

ทั้งนี้ นางสาว ประชุม ตันติประเสริฐสุข นายกสมาคม TICA  กล่าวว่า ด้วย TICA เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานร่วมกับภาครัฐอย่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการบินไทย รวมถึงภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจMICE เช่น โรงแรม บริษัทนำเที่ยว บริษัทจัดงาน และศูนย์ประชุม มีหน้าที่หลัก คือ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำคัญของการจัดประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ  โดยสมาชิกของ TICA จะประกอบไปด้วย ผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต บริษัทจัดทัวร์ บริษัทรับจัดอีเวนต์ ศูนย์ประชุม สถานที่ท่องเที่ยว ไปจนถึงผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับงาน MICE  

โดย นางสาวประชุม  ได้กล่าวต่อว่า ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรม MICE ของไทยกำลังเติบโตอย่างน่าจับตา ซึ่งนักเดินทาง MICE ต่างชาติ: ในปี 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักเดินทางMICEต่างชาติกว่า 1.1 ล้านคน โดย จีน ยังคงเป็นอันดับ 1 ที่ส่งนักเดินทางมามากที่สุด (กว่า 380,000 คน) ตามมาด้วยอินเดียและมาเลเซีย มีการใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะกลุ่มที่มางานแสดงสินค้า (Exhibition) ที่ใช้จ่ายเฉลี่ยถึง 77,504 บาทต่อทริป ขณะที่ รายได้รวมในปี 2567 ของอุตสาหกรรมMICE (ทั้งไทยและต่างชาติ) มีมูลค่ารวมกว่า 69,594 ล้านบาท จากนักเดินทาง 1.1 ล้านคน ส่วนปี 2568 ถึงปัจจุบัน เพียงครึ่งปีแรกสร้างรายได้ไปแล้วกว่า 33,011 ล้านบาท จากนักเดินทางเกือบ 6 แสนคน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนนักเดินทาง MICE ในประเทศของปี 2567 สูงถึง 24 ล้านคน สร้างรายได้รวม 78,747 ล้านบาท ปี 2568 ถึงปัจจุบัน  ทำรายได้ไปแล้วกว่า 42,098 ล้านบาท จากนักเดินทางกว่า 12 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันได้ว่า อุตสาหกรรม MICE เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทยอย่างแท้จริง

ซึ่งในเรื่องนี้ นางสาวประชุม ได้กล่าวว่า การจะนำพา TICA เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมจะต้องประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ต่อไปนี้ T - Talent Development (การพัฒนาบุคลากร): อุตสาหกรรมMICEพึ่งพา "คน" เป็นหลัก การยกระดับความสามารถและทักษะของบุคลากรด้วยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย  I - Innovation (นวัตกรรม) เทคโนโลยีและ AI เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิต  การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในการบริการและโปรแกรมที่น่าสนใจ ดึงเอาแรงบันดาลใจจากท้องถิ่นมาผสมผสาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและไม่มีใครเลียนแบบได้

ส่วน C - Collaboration & Contribution (ความร่วมมือและการมีส่วนร่วม): การจับมือกันเป็นสิ่งจำเป็น  เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในฐานะประเทศผู้นำด้านการจัดงานประชุม นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึง "ความยั่งยืน" ที่ต้องนำมาปรับใช้กับการจัดงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างมรดกที่ดีให้กับประเทศชาติ A - Agility (ความคล่องตัว) สามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และสามารถคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขับเคลื่อนไมซ์ไทยให้ก้าวย่างมั่นคง

อีกทั้ง นางสาวประชุม ยังกล่าวว่า TICA มีข้อเสนอถึงรัฐบาล 7 ข้อเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรม MICE ไทยให้ก้าวไกลอย่างมั่นคง คือ 1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน: พัฒนาการท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรมท้องถิ่น 2. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน: พัฒนาถนนหนทาง เทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว 3. เปลี่ยนโฉมนักท่องเที่ยวด้วยการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น มาประชุม มาเรียนรู้ หรือมาทำกิจกรรมจิตอาสา 4. ยกระดับทักษะแรงงาน ทั้งฝึกอบรมบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีทักษะตามที่ตลาดและเทคโนโลยีต้องการ 5. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เต็มที่ ด้วยการส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยว 6. ทบทวนกฎหมายและนโยบาย โดยมีปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัยและเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม 7. ป้องกันการหลอกลวง ด้วยการสร้างระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครองนักท่องเที่ยว