จากกรณีเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุ ว่ามีชายขับรถยนต์อย่างประมาทหวาดเสียว พร้อมแสดงอาวุธปืนใส่ผู้อื่น เหตุเกิดบนถนนพระราม 4 ขาเข้า บริเวณหน้าอาคารมาลีนนท์ทาวเวอร์ แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและสกัดจับรถต้องสงสัยยี่ห้อมิตซูบิชิ สีขาว ทะเบียนศรีสะเกษ โดย จ.ส.ต.อิทธิพล ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 (กก.ตชด.22) เป็นคนขับ จากการตรวจค้นภายในรถพบอาวุธปืนเล็กยาวแบบ M4A1 หมายเลข RIP-62/023049 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนขนาด 5.56 มม. จำนวน 29 นัด และแม็กกาซีน ซุกซ่อนอยู่บริเวณที่พักเท้าผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้าย

จากการสอบสน จ.ส.ต.อิทธิพลผู้ ให้การรับสารภาพว่า ได้พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนดังกล่าวซึ่งเป็นของทางราชการมาด้วยขณะกำลังเดินทางไปรับภรรยา ระหว่างทางเกิดเหตุโต้เถียงกับรถแท็กซี่คู่กรณีจึงยกปืนขึ้นโชว์แต่ไม่ได้ใช้อาวุธยิง ซึ่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สน.ทองหล่อ และส่งตัวมาตรวจหาสารเสพติดที่โรงพยาบาลคลองตัน พบว่ามีสารเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้าในร่างกาย 

ล่าสุดวันที่ 18 มิ.ย.68 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ ปลาทอง ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ออกคำสั่งที่ 157/2568 “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” โดยในคำสั่งระบุว่า จ.ส.ต.อิทธิพล มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้, พาอาวุธปืนในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขับขี่ยานพาหนะทั้งที่มีสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ในร่างกาย ทั้งนี้ คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นไปตามกฎ ก.ตร. พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) อันเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติที่ไม่น่าไว้วางใจ และหากยังคงอยู่ในหน้าที่ราชการ อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการได้

คำสั่งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ออกคำสั่งเป็นต้นไป และผู้ที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 141 ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่ง และมีสิทธิดำเนินการฟ้องต่อศาลปกครองภายใน 90 วันเช่นกัน หากไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ประกอบกับพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย