“อ.อ.ป. ดันไม้เศรษฐกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ช่วยลดโลกร้อน เสริมรายได้เกษตรกร พร้อมเปิดบทบาทคาร์บอนเครดิต เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”
ในวันที่โลกเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “ป่าไม้” กลับถูกย้ำชัดในฐานะทรัพยากรธรรมชาติที่มีความแตกต่าง โดยเป็นหนึ่งในไม่กี่ทรัพยากรที่ “ใช้แล้วปลูกทดแทนได้” และยังสามารถเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อน
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ อ.อ.ป. เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อยกระดับบทบาทของ “ไม้เศรษฐกิจ” ให้เป็นทั้งพืชเศรษฐกิจและเครื่องมือฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งหวังให้เกิดความยั่งยืนอย่างครอบคลุมทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศของประเทศ
อ.อ.ป. ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2490 มีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ ส่งออกไม้แปรรูปสร้างรายได้เป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจของชาติในยุคนั้น แต่เมื่อประเทศมีนโยบายยุติสัมปทานป่าในปี 2532 อ.อ.ป. จึงเปลี่ยนแนวทางใหม่ จากการใช้ประโยชน์จากไม้ป่าธรรมชาติ มุ่งสู่การปลูกสร้างสวนป่าอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ดูแลรวมกว่า 1 ล้านไร่ทั่วประเทศ และกลายเป็นต้นแบบการจัดการป่าเศรษฐกิจที่สมดุลทั้งการใช้สอยและการอนุรักษ์
โดย อ.อ.ป. ยึดแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับ BCG Model หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว มาขับเคลื่อนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น มิติด้านสังคม ที่มีการส่งเสริมชุมชนโดยรอบสวนป่า จัดตั้งหมู่บ้าน สร้างโรงเรียน วัด และสาธารณูปโภค มิติด้านเศรษฐกิจ ที่ไม้เศรษฐกิจกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเกษตรกรในระยะยาว และ มิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่ต้นไม้ทุกต้นสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากชั้นบรรยากาศ ลดภาวะเรือนกระจก และคืนสมดุลให้แก่โลก
นายประสิทธิ์ เกิดโต รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ อ.อ.ป. เล่าว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าประมาณ 40% ของประเทศ แบ่งเป็นป่าอนุรักษ์ 25% และ ป่าเศรษฐกิจ 15% โดยอาศัยความร่วมมือระหว่าง อ.อ.ป. และกรมป่าไม้ในการดูแลป่าเศรษฐกิจ ในส่วนของ อ.อ.ป. มีเป้าหมายสำคัญคือ การส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกป่าในพื้นที่ของตนเอง พร้อมดูแลตั้งแต่การปลูกจนถึงการตลาด
การเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจไม่สามารถทำในเขตป่าธรรมชาติได้ แต่ต้องขยายไปในพื้นที่การเกษตรแทน โดยเฉพาะที่ดินเสื่อมโทรมหรือพื้นที่ลาดชันที่ไม่เหมาะแก่การทำไร่ เช่น ข้าวโพดหรือมันสำปะหลัง อ.อ.ป. จึงมุ่งให้เกิด “การเปลี่ยนผ่านอย่างชาญฉลาด” โดยแนะนำให้ปลูกไม้เศรษฐกิจ เช่น ไม้ยูคาลิปตัส หรืออะคาเซีย ซึ่งเป็นไม้โตเร็วและขายได้ภายใน 5 ปี
แม้จะมีไม้เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วและให้ผลตอบแทนเร็ว แต่ยังมีไม้อีกหลายชนิดที่ต้องอาศัยระยะเวลาหลายสิบปี เช่น ไม้พยุง ไม้ประดู่ ไม้มะค่า หรือไม้ยางนา ซึ่งถึงแม้จะไม่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อยในปัจจุบัน แต่ก็เป็น “ไม้เศรษฐกิจตัวจริง” ที่ประเทศต้องวางรากฐานเอาไว้เพื่อคนรุ่นหลัง
ดังนั้น อ.อ.ป. จึงเริ่มปรับบทบาท มุ่งเน้นการปลูกไม้ยืนต้นคุณภาพสูงเพื่ออนาคตแทนที่จะเน้นเฉพาะไม้โตเร็ว ซึ่งจะสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรและรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่ตระหนักคือ “ต้นไม้หนึ่งต้นมีมูลค่ามากกว่าเนื้อไม้” เพราะมันสามารถสร้างมูลค่าทางสิ่งแวดล้อมผ่านระบบคาร์บอนเครดิตได้ด้วย ปัจจุบัน อ.อ.ป. ได้เริ่มจัดเก็บข้อมูลปริมาณคาร์บอน ที่ป่าสามารถดูดซับได้ และนำมาใช้ในการซื้อขายกับภาคธุรกิจที่ต้องการชดเชยการปล่อยคาร์บอน เช่น โลจิสติกส์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม
เพื่อสนับสนุนแนวโน้มใหม่นี้ อ.อ.ป. ยังได้จัดตั้ง “สำนักธุรกิจคาร์บอนและนวัตกรรม” ขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน และขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคใหม่
“ไม้เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วปลูกทดแทนได้ ต่างจากทรัพยากรอย่างหิน ปูน หรือเหล็กที่ใช้แล้วหมดไป หากคนรุ่นใหม่อยากอยู่ในโลกที่ยั่งยืน ต้องหันมาใช้ทรัพยากรที่หมุนเวียนได้ และไม้ คือคำตอบ ไม่ใช่เพียงเพื่อเศรษฐกิจ แต่ยังเพื่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตของโลก” รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ อ.อ.ป. ทิ้งท้ายเชิญชวนให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของป่าไม้