หลายพื้นที่โลก ณ ชั่วโมงนี้ ต้องบอกว่า ร้อนระอุด้วยสงครามการสู้รบ อาทิเช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอลรบกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา สงครามอิสราเอลกับอิหร่าน ที่ต่างฝ่ายต่างยิงขีปนาวุธเข้าใส่กัน จนเกิดการหายนะไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ในบางที่ก็เป็นสถานการณ์เผชิญหน้าทางการทหาร ที่พร้อมจะเกิดสถานการณ์เสียงปืนแตก อย่างกรณีที่ทหารไทยยังเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชาบริเวณแนวชายแดน ที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดการยิงปะทะกันได้ทุกเมื่อ จนต้องเฝ้าระวังระแวดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อเกิดสงครามการสู้รบ และเผชิญหน้าทางการทหารกันเช่นนี้ ดังนั้น หลายๆ ประเทศ ก็จำต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ หรือถ้าหากประเทศนั้น มีอุตสาหกรรมทางการทหาร มีความสามารถด้านการผลิตอาวุธยุทโธปกรณต่างๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทางการก็ต้องจัดสรรงบประมาณ สำหรับการวิจัยพัฒนาบรรดาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้มีความทันสมัย ประสิทธิภาพดีขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มกำลังพลทหาร เพื่อไปสังกัดเหล่าทัพต่างๆให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงานรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่จะบังเกิดขึ้น
นั่น! เป็นสัญญาณอัพเกรดกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในประเทศทั่วไป
เช่นเดียกับกลุ่มประเทศที่ได้ชื่อว่า มหาอำนาจชาติพี่เบิ้มด้านอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งปัจจุบันตามที่มีรายงาน จนเป็นที่รับรู้กัน ก็ระบุว่า มี 9 ประเทศด้วยกัน ที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในความครอบครอง ก็ต้องขยับปรับทัพด้านอาวุธนิวเคลียร์กันอย่างขนานใหญ่ ตามรายงานของ “สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม” หรือ “เอสไอพีอาร์ไอ (SIPRI)” อันมีที่ตั้งอยู่ในกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของสวีเดน ที่เปิดเผยเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้
รายชื่อ 9 ประเทศในโลกเรา ที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ไว้ ก็ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ และอิสราเอล
โดยสหรัฐฯ ถือเป็นชาติแรกที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง เมื่อปี 1945 (พ.ศ. 2488) ตามมาด้วยประเทศอื่นๆ ข้างต้นตามลำดับ ยกเว้นอิสราเอล ที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ก่อนหน้าอินเดียด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ
ตัวเลขการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของทั้ง 9 ประเทศ ปรากฏว่า
“สหรัฐฯ” ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ก่อนใคร ก็มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองราว 6,450 หัวรบ
“รัสเซีย” ที่แม้ผลิตได้ตามหลัง แต่ก็มีไว้ในครอบครองราว 6,850 หัวรบ
“สหราชอาณาจักร” ครอบครอง 215 หัวรบ
“ฝรั่งเศส” ครอบครอง 300 หัวรบ
“จีน” ครอบครอง 280 หัวรบ
“อินเดีย” ครอบครอง 130 – 140 หัวรบ
“ปากีสถาน” ครอบครอง 140 – 150 หัวรบ
“เกาหลีเหนือ” ครอบครอง 10 – 20 หัวรบ
“อิสราเอล” ครอบครอง 60 – 400 หัวรบ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการครอบครองที่แท้จริงน่าจะมีจำนวนมากกว่าที่รายงานข้างต้น ซึ่งก็ต้องถือว่า โลกเรามีอาวุธนิวเคลียร์อยู่เป็นจำนวนมากเป็นทุนเดิม โดยถ้าหากเกิดความผิดพลาดระเบิดตูมตามขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ไม่อยากจะจินตนาการว่า ความพินาศหายนะที่จะบังเกิดขึ้นจะมากน้อยเพียงใด
ทว่า ตัวเลขดังกล่าว ก็ยังไม่เพียงพอต่อทั้ง 9 ชาติผ้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยทาง “เอสไอพีอาร์ไอ” เปิดเผยหลังจากศึกษาวิจัยครั้งล่าสุดแล้วพบว่า ทั้ง 9 ชาติเหล่านั้น กำลังพัฒนาอย่างขนานใหญ่ ในการที่จะให้ประเทศของตน ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ที่มีทั้งขนาดใหญ่ขึ้น และจำนวนการครอบครองเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนประสิทธิภาพการทำลายล้างก็ทรงพลังพลานุภาพเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงระบบกาส่งมอบอาวุธนิวเคลียร์เพื่อไปยังที่หมาย หรือการที่จะไปถล่มโจมตีเป้าหมาย สามารถทำได้ในพิสัยระยะทางที่ไกลขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหากด้วย
ทั้งนี้ “เอสไอพีอาร์ไอ” ระบุว่า ความปรารถนาทั้งหมดทั้งปวงข้างต้น ทั้ง 9 ประเทศต่างก็เป็นที่รับรู้กัน และต่างฝ่าย ต่างก็ประชันแข่งขัน เพื่อที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มหาประลัย ให้มีความสุดล้ำระหว่างกันด้วย
โดยการแข่งขันประชันกันดังกล่าวนั้น ทาง “เอสไอพีอาร์ไอ” เปิดเผยว่า เริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่ก่อเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโคโรนาไวรัส 2019 หรือโควิด-19 เลยด้วยซ้ำ แต่ช่วงนั้นบรรดาประชาคมโลก กำลังสาละวนกับการจัดการวิกฤติโควิด -19 แพร่ระบาด เลยไม่ค่อยได้สนใจกับการแข่งขันของบรรดาประเทศเจ้านิวเคลียร์เหล่านั้น
พร้อมกันนี้ “เอสไอพีอาร์ไอ” เผยว่า แม้ว่าก่อนหน้านั้น ประเทศต่าง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และรัสเซีย สองชาติพี่เบิ้มใหญ่ ได้ปรับลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ลงนับพันหัวรบ แต่ในการขยับปรับทัพครั้งใหม่นี้ ก็จะมีอาวุธนิวเคลียร์เข้าไปเติมในคลังสรรพาวุธนิวเคลียร์ จนมีจำนวนมากกว่าที่ปรับลดไปครั้งก่อนเสียอีก
ไล่ไปตั้งแต่ “สหราชอาณาจักร” ที่กำลังดำเนินแผนการเพื่อเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาเป็น 260 หัวรบ ส่วนจีนก็ได้ไซโล หรือคลังเก็บอาวุธนิวเคลียร์แห่งใหม่จำนวน 350 แห่ง เพื่อรองรับกับอาวุธนิวเคลียร์ชุดที่จะเพิ่มขึ้นมารวมแล้ว 600 หัวรบ เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ ที่เร่งเดินหน้าเพื่อให้ได้ครอบครอบอาวุธนิวเคลียร์รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 90 หัวรบ ส่วนสหรัฐฯ และรัสเซีย แทบจะไม่ต้องพูดถึงที่หมายมั่นเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ชุดใหม่รวมแล้วนับพันหัวรบ
ส่งผลให้ทาง “เอสไอพีอาร์ไอ” สรุปในรายงานว่า โลกกำลังถลำดิ่งด่ำสู่ความไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น จากความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายล้างก็มีความสุ่มเสี่ยงเพิ่มขึ้น
กล่าวถึงอาวุธนิวเคลียร์ หรือเดิมก็คือ ระเบิดปรมาณู เคยสร้างความน่าสะพรึงให้โลกเราได้เห็นมาแล้ว ในช่วงปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ 1945 (พ.ศ. 2488) ซึ่งในปีนี้ก็จะครบ 80 ปีแล้ว ที่ระเบิดปรมาณูทำลายล้างคร่าชีวิตผู้คนทั้งที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น รวมแล้วกว่า 2 แสนคน อันส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้ในมหายุทธ์สงครามโลกครั้งกระนั้น