กลางเดือนมิถุนายน 2568 กลายเป็นอีกช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาถูกจุดติดอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพราะกรณีฟ้องศาลโลกเรื่องเขตแดนที่คาราคาซังมายาวนาน แต่ยังมาจากคำพูดที่ "เหมือนทวงบุญคุณ" ของสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ที่พาดพิงถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ นักเคลื่อนไหวการเมืองชื่อดังของไทย
คำกล่าวของสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์ส่วนตัว หากแต่สะท้อนท่าทีของการแทรกแซงทางการเมืองที่อาจล้ำเส้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยกับกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ
การกล่าวทวงบุญคุณ: บริบทที่ไม่ธรรมดา
ในสุนทรพจน์ก่อนการประชุมวุฒิสภากัมพูชาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุน เซน ได้กล่าวพาดพิงถึงนายจตุพรว่า "อ่อนน้อมถ่อมตนกว่านี้หน่อยน้องชาย ตอนแรกนายกับคนเสื้อแดงระเหเร่ร่อนลี้ภัยมาที่นี่... ฉันเคยให้ที่ลี้ภัยกับนาย ฉันให้อาหาร เลี้ยงดูปูเสื่อนาย"
คำพูดที่แฝงด้วยอารมณ์และแรงกดดันนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่กัมพูชากำลังยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้ตีความเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารและอีก 4 จุดพิพาทสำคัญ
แม้จะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แต่สมเด็จฮุน เซนยังมีอิทธิพลอย่างสูงในรัฐบาลกัมพูชา และคำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักทางการทูตและการเมืองไม่น้อย
จตุพรโต้กลับ: เสียงของอธิปไตย
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่รอช้า ออกมาตอบโต้ในรายการไลฟ์ส่วนตัวและแถลงข่าวทันที ยืนยันว่า
1. ไม่ได้ลี้ภัยอย่างที่กล่าว แต่เดินทางไปกัมพูชาตามคำขอของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ประสงค์จะพบแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เพื่อหารือทางการเมืองในช่วงที่สถานการณ์ในไทยร้อนแรง
2. การอยู่ในกัมพูชาเป็นเพราะสถานการณ์ไม่เป็นตามที่นัดหมาย จึงกลายเป็นการอยู่ต่อแบบจำยอม ไม่ใช่การลี้ภัยโดยเจตนา
3. บุญคุณเป็นเรื่องส่วนตัว แต่อธิปไตยเป็นเรื่องของชาติ การออกมาวิพากษ์วิจารณ์กัมพูชาในประเด็นเขตแดน เป็นสิ่งที่นายจตุพรทำในฐานะพลเมืองไทยผู้ปกป้องอธิปไตย ไม่ใช่การเนรคุณ
การเมืองหรือการแทรกแซง?
สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือ การที่สมเด็จฮุน เซน ออกมากล่าวในลักษณะนี้ สะท้อนเจตนาทางการเมืองหรือไม่?
สมเด็จฮุน เซน อาจต้องการ บ่อนเซาะความน่าเชื่อถือของกลุ่มที่ต่อต้านการฟ้องศาลโลกของกัมพูชา โดยอ้างบุญคุณเก่า หวังให้เสียงเหล่านี้อ่อนแรงลง
การนำประเด็นส่วนตัวมาทวงกลางเวทีสาธารณะ สะท้อนวิธีคิดแบบอำนาจนิยม ที่อาจไม่สอดคล้องกับหลักการของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
หากมองในกรอบทางการทูต การกระทำดังกล่าวอาจถูกตีความได้ว่า เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย โดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นเครื่องมือกดดัน
จุดยืนของไทยควรเป็นอย่างไร?
รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตระหนักว่า ปัญหาเขตแดนกับกัมพูชามีมิติทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และความมั่นคงซ้อนอยู่ ไม่ควรปล่อยให้กลายเป็นเวทีทวงบุญคุณส่วนตัวระหว่างนักการเมือง
รัฐบาลควรยืนยันหลักการ อธิปไตยเหนือดินแดน อย่างชัดเจน
การแสดงท่าทีของบุคคลหรือกลุ่มใด ๆ ที่เห็นต่างกับกัมพูชา ไม่ควรถูกลดทอนความชอบธรรมด้วยเรื่องส่วนตัว
ไทยควรส่งสัญญาณชัดเจนว่า การใช้บุญคุณทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางการทูต ไม่อาจยอมรับได้
มองย้อน: ฮุน เซน กับบทบาทในอดีต
ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมเด็จฮุน เซน มีบทบาทแทรกซ้อนในการเมืองไทย ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตการเมืองปี 2552-2553 เขาเคยเปิดพื้นที่ให้กับแกนนำเสื้อแดง รวมถึงนายทักษิณเข้าพักพิงในกัมพูชา
แม้จะถูกอ้างว่าเป็นมนุษยธรรม แต่ก็มีข้อวิจารณ์ว่า กัมพูชาใช้นักการเมืองไทยเป็นหมากในการต่อรองทางการเมืองในเวทีโลกหลายครั้ง
อดีตไม่ควรเป็นเครื่องมือปิดปากอนาคต
การแสดงออกของสมเด็จฮุน เซน ในครั้งนี้ อาจดูเหมือนเป็นการย้ำเตือนความสัมพันธ์ส่วนตัวในอดีต แต่เมื่อกล่าวในบริบทการเมืองระหว่างประเทศและปัญหาพรมแดนที่เปราะบาง คำพูดเหล่านั้นอาจสร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์
บุญคุณในอดีต ไม่ควรถูกใช้เพื่อปิดปากคนไทยที่ลุกขึ้นปกป้องแผ่นดินตนเอง และผู้นำกัมพูชาควรระมัดระวังไม่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นเครื่องมือแทรกแซงอธิปไตยของชาติอื่น
#ฮุนเซนทวงบุญคุณ #จตุพรโต้เดือด #พิพาทไทยกัมพูชา #เขตแดนพระวิหาร #ICJฟ้องไทย #อธิปไตยไทยต้องมาก่อน #การเมืองเพื่อนบ้าน #ฮุนเซนจตุพร #ข่าวการเมืองล่าสุด