“ภูมิธรรม” จี้ “กัมพูชา”ถอนกำลัง ขอทุกฝ่ายไม่ใช้ “โซเชียล” ปล่อยข่าวโจมตี หวั่นเหตุบานปลาย ไทยย้ำจุดยืนปกป้องอธิปไตยของประเทศ ด้าน “บิ๊กเล็ก” เรียกถก “ศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชา” ปูแผนงานระยะยาว ยึด “ทำเนียบฯ-ตึกสมช.” ที่มั่นศูนย์บัญชาการ พร้อมตั้ง “โฆษก” ตอบโต้ “ฮุน เซน” โพสต์รายวัน ขณะที่ “กองกำลังบูรพา" คุมเข้ม! ห้ามคนไทยเข้าปอยเปต หวั่นไม่ปลอดภัย

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกประกาศจะปิดด่านวันนี้ ว่า ขณะนี้ไทยยังยืนอยู่จุดเดิมตามที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.68) ว่า ใช้กระบวนการทั้งหมด คือ ปกป้องอธิปไตย มีศักดิ์ศรี และเรื่องนี้จะไม่ยอมแน่

นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ส่วนเรื่องมาตรการต่าง ๆ ขณะนี้ยังยืนอยู่จุดเดิม ขอให้ถอยกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่ายไป แต่ขณะนี้กำลังก็ยังเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งสิ่งที่อยากเห็น คือ อยากให้ถอยปรับกำลังทั้งหมดไปอยู่ในจุดที่เกิดขึ้นในปี 2567 เพราะคิดว่าเรื่องการเผชิญหน้าไม่เหมาะสม แต่สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และเรื่องการปิดด่าน ตั้งแต่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และข้อสั่งการทั้งหมด ให้กองทัพไปดำเนินการ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกคำสั่งทั้งหมด และยืนอยู่จุดเดิมคือมี 4 ขั้นตอน และให้แต่ละส่วน คือ กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 กองกำลังจันทบุรี พิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ขณะนี้ยังอยู่มาตรการที่ 1 และ 2 คือ การปิดเฉพาะจุด เฉพาะเวลา โดยปรับจาก 06.00 - 22.00 น. เป็น 08.00 - 16.00 น. และจำกัดคนเข้า เพื่อให้ค้าขายกันได้ ส่วนนักท่องเที่ยวหากไม่มีความจำเป็นก็จะไม่ให้เข้า ประเทศไทยไม่เคยปิดด่าน ดังนั้นสิ่งที่พูดมาบางครั้งไม่เห็น และประธานวุฒิสภากัมพูชาออกมาแถลง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโซเชียลมีเดีย” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม ยังย้ำว่า ประเทศไทยใช้กลไกการพูดคุยแบบทวิภาคี และพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งทุกอย่างได้พูดคุยกันครบถ้วนหลายประเด็น แต่อยู่ที่การปฏิบัติว่าจะปรับอย่างไรได้ และเมื่อวานที่นายกรัฐมนตรีเรียกฝ่ายความมั่นคงไปพูดคุย ได้พูดคุยถึงสถานการณ์ทั้งหมด ก็เข้าใจตรงกัน ถ้าหากปรับกำลังทั้งสองฝ่ายตลอดแนวชายแดนได้อย่างที่ต้องการ ก็เป็นไปได้ที่จะสามารถปรับเรื่องด่าน เพราะไม่ต้องการปิดกั้นเรื่องค้าขาย ยืนยันว่าขณะนี้ความเสียหายเรื่องการปิดด่านบางเวลา ไม่ได้กระทบการค้าขายจนเป็นปัญหา อาจมีบ้างเล็กน้อย แต่ประชาชนตามแนวชายแดนก็ไม่มีปัญหา หรือกรณีที่มีข่าวว่านำรถบัสมารับแรงงานกัมพูชานั้น แรงงานส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ไทย เพื่อประกอบอาชีพ จึงมองว่าสถานการณ์ชายแดนยังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพียงแต่ระมัดระวังไม่ให้เกิดอะไรที่บานปลาย
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังยืนจุดนี้อยู่ทั้งกองทัพภาคที่ 2 ภาค กองทัพภาคที่1 ไม่ให้ใครรุกล้ำอธิปไตย จะปกป้องอย่างเต็มที่ แต่ หากเจรจาไม่มีการสู้รบได้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีความสูญเสียก็ยังยืนยันในจุดนี้อยู่ และในโซเชียลก็มีการปั่นจำนวนมากคิดว่า ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงและความเสียหายต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เรื่องด่าน รัฐบาลไม่มีปัญหาไทยยังอยู่ในจุดเดิม เพราะไม่ได้บริหารงานตามกระแสหรือตามอารมณ์ แต่บริหารงานตามหลักการและประโยชน์ของประเทศ ดังนั้น เมื่อวานนี้ที่ประชุม จึงได้มีการชี้แจงให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าไม่มีความขัดแย้ง และมองตรงกัน

ส่วนฝ่ายกัมพูชาใช้โซเชียลในการปล่อยข่าวอยู่ตลอดจะรับมืออย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปปั่นกับเขา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุบานปลาย ไทยยังยืนยันยึดมั่นในจุดของเรา ซึ่งต่างประเทศก็รับรู้ว่าจุดยืนของไทยปกป้องประเทศ และผลประโยชน์ของประชาชน หากโซเซียลมานำทาง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องนำโซเชียลมาเสนอข้อเท็จจริง ไม่ใช่ไปปั่นเพราะไม่ส่งผลดีต่อกัน

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงการประชุมศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ว่า วันนี้(17มิ.ย.)จะมีการประชุม เพื่อตรวจสอบว่าแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งใครมาร่วม ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง ผู้แทน หรือ ผบ.หน่วย ระดับปลัด หรือเทียบเท่า ซึ่งต้องเป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจได้ทันที เพื่อที่จะได้รับทราบแนวทางการทำงานต่อไป 

สำหรับมาตรการเพื่อสนับสนุน การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย -กัมพูชา หรือ RBC ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อปรับลดกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ ซึ่งคงต้องหารือกัน แต่เป้าหมาย ที่จะตั้งศูนย์นี้ขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนและบูรณาการงานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า พร้อมทั้งรับทราบและติดตาม งานที่จะต้องใช้ระยะเวลา เช่น การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม ไทยกัมพูชา หรือ JBC และ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ แต่ยืนยันว่าศูนย์ดังกล่าวไม่ควรอยู่นานเกิน1 เดือนด้วยซ้ำ และจะพยายามทำให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว

“ศูนย์ดังกล่าวจะมีการตั้งโฆษกเพื่อชี้แจงข่าวสารเชิงรุก โดยตั้งพล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพไทย และรองโฆษกกองทัพไทย  ทำหน้าที่โฆษก รับผิดชอบการแถลงข่าวงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง และอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงด้านงานต่างประเทศ ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ชี้แจงในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในโซเชียล หรือกรณีสมเด็จฮุนเซน ประธานพฤฒสภากัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียแบบรายวัน เพื่อชี้แจงประชาชนให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งจะเริ่มทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป โดยจะใช้สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.เป็นสถานที่ทำงาน และจะใช้ตึกนารีสโมสรเพื่อแถลงข่าว และจะมีการประชุมกันในเวลา 09.30 น. ของทุกวัน  ซึ่งยอมรับว่าการทำงานจะคล้าย  กับศปก.ศบค. ที่ผ่านมา แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะมีทั้งงานเฉพาะหน้า และงานระยะยาว แต่ยืนยันว่าศูนย์ดังกล่าวจะไม่ก้าวก่ายงานของหน่วยงานอื่น เช่นกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ”

เมื่อถามว่าที่จังหวัดสระแก้วห้ามคนไทยเดินทางข้ามไปกาสิโนฝั่งกัมพูชา เป็นมาตรการตอบโต้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่าเป็น1 ใน 4 มาตรการ เรื่องการเปิด-ปิดด่าน ตนยืนยันว่า เราเปิดด่านตลอดเวลา เพียงแต่กำหนดเวลาเปิด - ปิด จึงไม่อยากให้ใช้คำว่าปิดด่าน เพราะทางฝ่ายกัมพูชาหยิบไปเป็นประเด็น ยืนยันว่าเราคิดถึงความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองฝั่ง เพราะเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาเรื่องดังกล่าว ถึงแม้ว่าคนของกัมพูชาจะเชื่อทางฝั่งสมเด็จฮุน เซน ก็เป็นเรื่องของเขา

ขณะเดียวกัน พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ลงนามในหนังสือ เรื่อง มาตรการควบคุม จุดผ่านแดนถาวร/จุดผ่อนปรนเพื่อการค้าฯ ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว

เรียน ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว อ้างถึง 1.คำสั่ง กองทัพบก(เฉพาะ) ที่ 806/2568 ลงวันที่ 7 มิ.ย.2568, คำสั่งกองกำลังบูรพา ที่ 84/2568 และหนังสือกองกำลังบูรพา ด่วนที่สุด ที่ กห 0481.2/387 ลงวันที่ 11 มิ.ย.2568
ตามอ้างถึง กองกำลังบูรพา ขอเพิ่มมาตรการควบคุมเพื่อรักษาความปลอดภัยสูงสุดของคนไทยที่จะข้ามแดน ไปยังราชอาณาจักรกัมพูชา คือ เพิ่มความเข้มงวดอย่างยิ่งยวด คนไทยที่เป็นพนักงานทุกประเภทของบ่อนการพนัน/คาสิโน และสถานบันเทิงทุกชนิด ในกรุงปอยเปต ออกนอกราชอาณาจักรไทย ทุกจุดผ่านแดนในจังหวัดสระแก้ว

ทั้งนี้ ให้หน่วยที่รับผิดชอบในการผ่านแดนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ไปยังราชอาจารกัมพูชา บังคับใช้มาตรการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. (วันทำการ) เป็นต้นต้นไป จนกว่ากองกำลังบูรพา จะแจ้งเปลี่ยนแปลง
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง