อนุทินปัดพร้อมเป็นฝ่ายค้าน หากภท.ถูกเขี่ยพ้นรัฐบาล อ้างถูกสื่อถามก็ตอบไป ย้ำยังไม่คุย นายกฯด้าน พท.ส่งสัญญาณทุกพรรคพร้อม ปรับครม. มั่นใจ นายกฯอิ๊งค์ วางคนเหมาะสม ลั่นไม่ต้องทำประชามติ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เหตุไม่ใช่ความมั่นคง ส่วน เรืองไกร ร้อง ประธานศาลฎีกา ตรวจสอบผู้ใดละเมิดอำนาจศาลคดีชั้น 14 หรือไม่
ที่พรรคเพื่อไทย นายพายุ เนื่องจำนงค์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการเสนอให้ทำประชามติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ว่า มีประเด็นที่ต้องชี้แจง คือ ร่างพ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเสนอต่อสภาฯ ถูกบรรจุในวาระประชุมสภา นัดแรกที่จะเปิดสมัยประชุม วันที่ 3 ก.ค. นี้ โดยที่ผ่านมามีการเปิดรับฟังความเห็นจากหลายภาคส่วน และหากร่างพ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ผ่านวาระแรก เข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) จะเปิดเวทีรับฟังความเห็นเพิ่มเติม
การทำเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นเรื่องนโยบายไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของชาติ ไม่จำเป็นต้องทำประชามติ เพราะมีตัวอย่างของการอนุญาตกิจกรรมที่รัฐควบคุม เช่น สนามม้า สนามมวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ถือเป็นกิจกรรมในลักษณะทำนองเดียวกันนายพายุ กล่าว และว่า พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดูแลประชาชนเต็มที่ ไม่ตอบโต้ด้วยความขัดแย้ง แต่จะตอบโต้ด้วยผลงานที่เป็นรูปธรรม ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างจริงจัง
นายพายุ กล่าวต่อว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ ในการปรับ ครม.เพื่อจัดวางบุคลากรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักสูงสุด ไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นพรรคใด พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำยังเดินหน้าทำงานให้ประชาชนกินดีอยู่ดี
นักการเมืองทุกคนควรพร้อมรับบทบาทใหม่ และเดินหน้าทำงานเต็มที่เพื่อผลักดันนโยบายที่ประชาชนรอคอย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
ส่วน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลัง สส.พรรคเพื่อไทยออกมาระบุ ถ้าไม่สบายใจก็ให้ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลว่า สบายใจ ไม่มีอะไรไม่สบายใจ วันนี้ตนมาทำงานให้ถามเรื่องงาน ปรับ ครม. ไม่เกี่ยวกับประชาชน ประชาชน เบื่อกับข่าวนี้ อยากจะรู้ว่ารัฐมนตรีทำงานอย่างไรบ้าง มีเหตุการณ์เยอะแยะ ทั้งเศรษฐกิจ ชายแดน การดูแลพี่น้องประชาชน เราเอาเรื่องของประชาชนเป็นหลักดีกว่า
เรื่องปรับ ครม. เป็นเรื่องของพรรคการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับประชาชน ตราบใดที่ยังไม่มีการปรับ ครม. รัฐมนตรีทุกคนก็ยังคงปฏิบัติราชการอย่างเต็มที่ เหมือนอย่างตน ก็ยังลงพื้นที่ ไฟไหม้ก็มาพื้นที่ ไปดูการประสานงานของจังหวัด ดูว่าสิ่งที่ดำเนินการแล้วมีอะไรขาดตกบกพร่อง มีอะไรที่ต้องเสริมเพิ่มเติม วันนี้ก็ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เมื่อถามว่าที่สบายใจเพราะได้คุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ได้คุยอะไร ตนสบายใจที่ได้ทำงานให้กับประชาชน การลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องแบบนี้ ผู้สื่อข่าวถามต่อ ยิ่งทำให้เราเกาะเก้าอี้มหาดไทยแน่นใช่หรือไม่ นายอนุทิน ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า "เหมือนก่อนหน้านี้ไม่ลงพื้นที่ เดี๋ยวก็ตีตายเลย ลงพื้นที่ทุกวัน มีวันไหนไม่เป็นข่าวบ้าง"
เมื่อถามว่า หลังจากที่ประกาศพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีหรือยัง นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ได้คุย ตนไม่ได้ประกาศ นักข่าวป้อนคำถามอีกแล้ว ไปดูตนตอบสั้นๆ นักข่าวถามว่าถ้าถูกปรับออกจากกระทรวงมหาดไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้านไหม ตนก็พร้อม
เมื่อถามว่าจะมีภารกิจเปิดตัว สส.พรรคไทยสร้างไทย หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ไม่มี เปิดไม่ได้ ตนประกาศไว้แล้วพรรคภูมิใจไทยไม่มียุทธการงูเห่า หนูถูกไล่แล้ว งูเห่าถูกตีแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่เอาแล้ว ทำงาน จะได้ สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเกิดจากการทำงาน และเกิดจากความขยันของ สส. ที่พรรคภูมิใจไทยลงสมัคร ไม่มีงูเห่าไม่ต้องกังวล ไม่มีแน่นอน"
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ประธานศาลฎีกา ตรวจสอบว่า ในระหว่างการพิจารณคดีหมายเลขดำที่ บค. 1/2568 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีผู้ใดกระทำการอันอาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 32(2) หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 วันที่ 30 เม.ย. 2568 เป็นคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นว่า เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ แล้วให้โจทก์และจำเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง หรือไม่ อย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาของศาลว่าการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล หรือไม่ อย่างไร ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 6 โดยให้โจทก์ จำเลยดังกล่าว ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย. 2568 เวลา 09.30 น.
นายเรืองไกร กล่าวว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 68 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกข่าวประชาสัมพันธ์ในเว็บไซต์ศาลฎีกา ข่าวที่ 8/2568 ดังนี้ "วันนี้ เวลา 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 อัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงต่อศาลแล้ว ส่วนอธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงถึงวันที่ 20 มิ.ย. และวันที่ 23 มิ.ย. ตามลำดับ ไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วเสร็จ และมีคำสั่งให้หมายเรียกพยานจำนวน 20 ปาก มาไต่สวนในวันที่ 4, 8 และ 15 ก.ค. เวลา 09.00 น. ทุกนัด"
นายเรืองไกร กล่าวว่า ในระหว่างที่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 ยังไม่เสร็จสิ้น มีข้อเท็จจริงที่เป็นความปรากฏทั่วไปว่า มีบุคคลต่าง ๆ (โดยเฉพาะนักกฎหมายบางคน) ได้เสนอข้อความหรือความเห็นตามสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งบรรดาข้อความหรือความเห็นอาจก่อให้เกิดอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานในคดี หรืออาจทำให้สาธารณชนเข้าใจว่าข้อความหรือความเห็นนั้นมีอิทธิพลต่อการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งอาจทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป
โดยเฉพาะข้อมูลที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงแห่งคดี การรายงานหรือการย่อเรื่องหรือการวิพากษ์เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาอย่างไม่เป็นกลาง ไม่ถูกต้อง หรือโดยไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการดำเนินคดีของคู่ความ หรือคำพยานหลักฐาน รวมทั้งการแถลงข้อความที่ทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของคู่ความหรือพยาน แม้ว่าข้อความเหล่านั้นอาจเป็นความจริงหรือการชักจูงให้เกิดมีคำพยานเท็จ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ และอาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 32 (2) ตามมาได้
นายเรืองไกร กล่าวว่า การร้องตามหนังสือนี้ ได้นำกรณีการเสนอข้อความหรือความเห็นของบุคคลต่าง ๆ ที่อาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล นั้น เทียบเคียงจากข่าวของสำนักงานศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2559 กรณี คดีจำนำข้าว มาอ้างอิงด้วย