แม้เสียงปืน เสียงระเบิดจากการสู้รบ จะสงบลงแล้ว แต่ทว่า สงครามความขัดแย้งหาได้จบยุติลงไม่

สำหรับ การกระทบกระทั่งครั้งล่าสุดระหว่าง “อินเดีย” กับ “ปากีสถาน” ซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุโจมตีคณะนักท่องเที่ยวชาวอินเดียในแคว้นแคชเมียร์ จนทำให้ชาวอินเดียเสียชีวิตถึง 25 คน และชาวเนปาลเสียชีวิต 1 คน

จากเหตุการณ์ข้างต้น ก็บานปลายนำไปสู่การสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไป จนเกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของพลเรือนและกองทัพ อันรวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

และไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เมื่อยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของสงครามการสู้รบครั้งนี้ อย่างที่ใครๆ ก็คาดไม่ถึงว่า มันจะพลอยกลายเป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานในครั้งนี้ด้วย

นั่นคือ “เกลือชมพู” หรือที่หลายคนเรียกว่า “เกลือหิมาลัย” บ้าง หรือ “เกลือหิมาลายัน” ก็ยังมี หรือบางเรียกกันเต็มยศ “เกลือชมพูหิมาลัย

โดยเกลือชนิดนี้ ก็เป็นเกลือที่มีสีชมพู มีถิ่นกำเนิดย่าน “เทือกเขาเกลือ” แคว้นปันใกล้กับตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย แคว้นปัญจาบของปากีสถาน

สภาพภายในเหมืองเกลือชมพูแห่งหนึ่งใกล้กับเทือกเขาเกลือ ประเทศปากีสถาน (Photo : AFP)

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงแคว้นปัญจาบ หรือรัฐปัญจาบ มีทั้งที่ปากีสถานและที่อินเดีย เพราะเป็นดินแดนที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตามประชากรผู้นับถือศาสนาส่วนใหญ่ โดยถ้าประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งอยู่ทางตะวันตก ก็ให้ไปผนวกเป็นแคว้นๆ หนึ่งในปากีสถาน ส่วนทางฟากตะวันออก ซึ่งมีประชากรนับถือศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ ก็ให้ไปเป็นรัฐหนึ่งของอินเดีย เรียกว่า รัฐปัญจาบ และกลายเป็นความขัดแย้งกันเรื่อยมา นับตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

โดยในแคว้นปัญจาบของทางฝั่งปากีสถาน มี “เทือกเขาเกลือ (Salt Range)” ใกล้ที่ราบสูงโพโธฮาร์ ตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย ที่ทอดมาจากประเทศเนปาล ขึ้นมาทางเหนือผ่านอินเดีย และปากีสถาน

ส่วนการกำเนิดเกลือชมพู ก็ถือกำเนิดขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ผลึกแร่เฮไลต์ถูกเกลือโปแตสเซียม แทรกซึมลงไป และเกิดการทับถมด้วยแร่มาร์ลซึ่งมียิปซัมอยู่ด้านบนเป็นระยะเวลานานราวกว่า 500 - 600 ล้านปี ทั้งนี้ ชาวปาสกีถานได้สกัดเกลือจากเทือกเขาเกลือ คล้ายกับการทำเหมือง เรียกว่า เหมืองเกลือ มาบริโภค และจำหน่ายทั้งในปากีสถานเอง ตลอดจนมีการส่งออกไปยังอินดีย ชาติคู่ปรปักษ์หลักของปากีสถาน นับตั้งแต่มีการแบ่งแยกประเทศกันอีกต่างหากด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อว่ากันถึงประวัติความเป็นมาของเกลือชมพู ก็กล่าวกันว่า ถูกค้นพบตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กรีธาทัพจากกรีซ มาซิโดเนีย มายังชมพูทวีป เมื่อกว่า 2 พันปีก่อนแล้ว แต่เมื่อว่าหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรแรกสุด ก็ระบุว่า เริ่มขึ้นในช่วงคริสต์ศักราช 1200 ที่มีการสกัดเกลือจากเทือกเขาเกลือในแคว้นปัญจาบแห่งนี้

เกลือถูกใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารในเมนูต่างๆ ของชาวอินเดีย (Photo : AFP)

โดยเกลือชมพูดที่ว่านี้ ก็มีการนำมาใช้บริโภคทั้งในด้านเป็นเครื่องปรุงอาหาร เป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรของผู้คนทั้งในปากีสถานและอินเดีย ตลอดจนชาวชมพูทวีปในประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากปากีสถานและอินเดียข้างต้น

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงผู้คนในชมพูทวีปแล้ว ให้ความสำคัญกับเกลือเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่เกลือชมพู แม้กระทั่งเกลือทะเล เกลือสินเธาว์ทั่วๆ ไป ผู้คนในดินแดนแถบนั้นให้ความสำคัญกัน

ถึงขนาดเคยเกิดเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้อินเดีย ใช้เป็นเครื่องมือปลุกเร้ากระแสต่อต้านเจ้าอาณานิคม คือ อังกฤษ ประเทศแม่ โดย “มหาตมะ คานธี” จนเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษเป็นผลสำเร็จมาแล้ว เรียกว่า “สัตยาเคราะห์เกลือ” อันสืบเนื่องมาจากอังกฤษ ประเทศแม่ ไปจัดเก็บภาษีเกลือ ตลอดจนผูกขาดอุตสาหกรรมเกลือ ทำให้เกลือมีราคาแพงขึ้น ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอังกฤษอย่างรุนแรงตามมาในอินเดีย เมื่อช่วงปี 1930 (พ.ศ. 2473) ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับ เกลือชมพูที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งล่าสุดนี้ ก็เป็นการห้ามนำเข้าจากทางฝั่งอินเดีย โดยทางการรัฐบาลกรุงนิวเดลี ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมทิ ที่มีคำสั่งห้ามนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากปากีสถาน อันเป็นมาตรการตอบโต้ปากีสถาน นั่นเอง

โดยคำสั่งข้างต้น ก็รวมถึงสินค้าประเภทเกลือชมพูอันเลื่องชื่อของปากีสถานด้วย ในฐานะสินค้าส่งออกโดยอินเดียถือเป็นหนึ่งในชาติลูกค้าที่สำคัญ เพราะมีการนำเกลือชมพูไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสในการประกอบอาหาร การนำไปเป็นเครื่องผสมสำหรับยาสมุนไพรตามหลักอายุรเวชศาสตร์อินเดียโบราณ หรือในทางการแพทย์แผนโบราณของชาวอินเดีย นอกจากนี้ ยังมีการนำไปใช้ในเรื่องสปา แม้กระทั่งไปทำโคมไฟเพื่อบำบัดอาการภูมิแพ้บางประการในผู้ป่วยบางราย ตลอดจนชาวฮินดู ก็ใช้เกลือชมพูนี้ เป็นเครื่องปรุงอาหารสำหรับการบริโภคในช่วงถือศีลตามหลักศาสนาฮินดู ที่ไม่ใช้เกลือทะเล เป็นเครื่องปรุงอาหาร

โคมไฟที่ทำจากเกลือชมพู ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถบำบัดอาการภูมิแพ้บางอย่างได้ (Photo : AFP)

ความนิยมบริโภคเกลือชมพูจากปากีสถานว่า มีมากน้อยเพียงใดในอินเดียนั้น เอาการซื้อขายเฉพาะพ่อค้านำเข้ารายหนึ่ง ในเมืองอมฤตสาร์ รัฐปัญจาบ ของอินเดีย ก็เปิดเผยว่า เขานำเข้าเกลือชมพูมากราวๆ 2,000 – 2,500 ตันทุกไตรมาส หรือทุก 3 เดือน เมื่อทางรัฐบาลอินเดียของนายกรัฐมนตรีโมทิมีคำสั่งห้าม ก็ส่งผลทำให้การค้าการขายเกลือชมพูดระหว่างกิจการของเขากับปากีสถาน ก็มีอันต้องพลอยหยุดชะงักไปในทันที

นั่น! เป็นเพียงสถานการณ์ซื้อขายของผู้ค้านำเข้ารายหนึ่งเท่านั้น แต่ยังผู้ค้านำเข้าเกลือชมพูรายอื่นๆ อีกหลายรายในอินเดีย ที่เผชิญชะตากรรมเหมือนพ่อค้ารายนี้

เมื่อการนำเข้าต้องชะงักไปเช่นนี้ ก็ส่งผลให้ราคาเกลือชมพูในอินเดียทะยานพุ่งสูงขึ้นเป็นสถานการณ์ตามมา โดยมีรายงานว่า เดิมราคาเกลือชมพูมีราคาก่อนหน้าที่จะถูกสั่งห้ามนำเข้าอยู่ที่ 45 รูปี ไม่เกิน 50 รูปี ต่อกิโลกรัม หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ กิโลกรัมละ 17 – 19 บาทไม่เกินนี้ แต่เมื่อถูกห้ามนำเข้า ก็ทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 60 รูปี หรือเกือบ 23 บาทต่อกิโลกรัม ก็ส่งผลให้ประชาชนชาวอินเดียต่างโอดครวญกันเป็นแถว