นายหน้าขายประกันเถื่อนแอบอ้างขายประกันหมู่ให้โรงเรียนใน จ.พิจิตร ทำให้ผู้ปกครองผวา หลังพบเด็กวัย 3 ขวบประสบอุบัติเหตุรุนแรง แต่ไม่สามารถเคลมค่ารักษาได้ ผู้ว่าฯพิจิตรสั่งตรวจสอบโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทั้งหมดในพื้นที่ทันที

วันที่ 13 มิ.ย.68 นางสาวธนียา นัยพินิจ ผู้ว่าราชการการจังหวัดพิจิตร มอบหมายให้ นายกิติพล เวชกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ซึ่งดูแลงานด้านการศึกษาลงพื้นที่เรียกประชุมผู้บริหารสถานศึกษาภายในจังหวัดพิจิตรพร้อมกับนายอำเภอรวมถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตรเพื่อสั่งการให้ตรวจสอบจากกรณีสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา – มัธยมศึกษา – ประถมศึกษา – ศูนย์เด็กเล็ก ที่อยู่ในความดูแลของ อปท. ต่างๆ รวมถึงโรงเรียนของเอกชนต่างๆ อีกด้วย ทั้งนี้สืบเนื่องจากเกิดกรณีเด็ก 3 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ใน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ประสบเหตุถูกไฟลวกตามร่างกายจนต้องเข้ารับการรักษาตัวเกือบ 50 วัน บาดแผลฉกรรจ์จนต้องตัดนิ้วเท้าถึง 3 นิ้ว จากนั้นผู้ปกครองจะขอใช้สิทธิ์เคลมประกันเพื่อเบิกจ่ายค่ายา ค่าชดเชยจากการสูญเสียอวัยวะ ปรากฎว่าเบิกไม่ได้ สาเหตุเนื่องจากนายหน้าตัวแทนขายประกัน ไม่ใช่ผู้มีสิทธิเป็นตัวแทนของบริษัทแต่มาแสดงตนหลอกขายประกันให้กับเด็กอายุ 3 ขวบรายนี้ พร้อมกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ รวมแล้วนับ 100 คน ความแตกเรื่องแดง ผู้ว่าฯพิจิตร สั่งให้นายอำเภอดูแลและให้พาผู้ปกครองเด็กไปแจ้งความ เนื่องจากเป็นผู้เสียหายรวมถึงให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ประจำจังหวัดพิจิตร เข้าร่วมตรวจสอบและดำเนินคดีกับนายหน้าขายประกันเถื่อนรายนี้

นายกิติพล เวชกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ได้ประชุมให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา – มัธยมศึกษา – ประถมศึกษา – ศูนย์เด็กเล็ก ที่อยู่ในความดูแลของ อปท. ต่างๆ ทำการตรวจสอบว่าที่มีการซื้อประกันหมู่หรือประกันแบบกลุ่มนั้นได้ซื้อกับตัวแทนขายประกันแล้วส่งเงินให้บริษัทที่ต้องออกกรมธรรม์ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุอุบัติภัยแล้วจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ตามสิทธิที่พึงจะได้นั่นเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บรรดาผู้ปกครองต่างหวาดผวาไปตามๆกัน เพราะไม่เชื่อว่า นายหน้าเถื่อนขายประกันรายนี้จะทำที่โรงเรียนแห่งนี้เพียงที่เดียว โดยเชื่อว่าที่อื่นๆอาจจะมีเหตุการณืแบบนี้เกิดขึ้นก็ได้ จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบครั้งใหญ่ในสถานศึกษาของจังหวัดพิจิตร ทั้ง 12 อำเภอ