หากกล่าวถึง “ประเทศที่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของรัสเซีย” เจ้าของฉายา “พญาหมี” แล้ว เชื่อว่าใครต่อใคร ก็ต้องชี้นิ้วไปที่ “สหรัฐอเมริกา” แทบทั้งนั้น

นั่น! เป็นภาพลักษณ์ ภาพจำ ของใครหลายๆ คน รวมไปถึงประชาชนชาวรัสเซียเองที่มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น เมื่อช่วงก่อนหน้า ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

ทว่า มา ณ ปัจจุบัน ปีล่าสุด 2025 (พ.ศ. 2568) กาลเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยนทางความรู้สึกนึกคิดที่ว่านั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวรัสเซีย ที่มีมุมมองเกี่ยวกับประเทศที่เป็นศัตรูของพวกเขา

โดยการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวรัสเซีย ซึ่งจัดทำขึ้นโดย “ศูนย์เลวาดา” หรือ “เลวาดา เซ็นเตอร์” สถาบันวิจัยด้านสังคมวิทยา ซึ่งแม้ว่ามีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย ได้เปิดเผยผลการสำรวจประจำปีครั้งล่าสุด ระบุว่า ประชาชนชาวรัสเซีย ไม่ได้เห็นว่า สหรัฐฯ เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งสำหรับประเทศของพวกเขาแล้ว แต่กลับเป็นประเทศอื่นแทน

การพบปะกันระหว่างนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ (ขวา) กับนายเซอร์ได ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย เพื่อฟื้นความสัมพันธ์ของสองประเทศ (Photo : AFP)

แถมมิหนำซ้ำ สหรัฐฯ ประเทศที่เคยถูกมองว่า เป็นศัตรูนัมเบอร์วันของชาวรัสเซียนั้น ก็ยังหลุด “3 อันดับแรก” หรือ “ท็อปทรี” ของกลุ่มประเทศศัตรูตัวฉกาจของรัสเซียอีกด้วย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ (ซ้าย) สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในช่วงที่ผ่านมา (Photo : AFP)

ผลการสำรวจของ “เลวาดาเซ็นเตอร์” เปิดเผยว่า “เยอรมนี” ประเทศพี่เบิ้มใหญ่ในภูมิภาคยุโรป กลับกลายเป็นชาติศัตรูหมายเลขหนึ่งของรัสเซีย แบบก้าวขึ้นมาแทนที่สหรัฐฯ ไปอย่างน่าตื่นตะลึง

โดยมีข้อมูลตัวเลขของการสำรวจความคิดเห็นเป็นเครื่องยืนยัน ซึ่งทาง “ศูนย์เลวาดา” ระบุว่า “เยอรมนี” ถูกประชาชนชาวรัสเซีย มองว่าเป็นประเทศศัตรูของรัสเซีย คิดเป็นตัวเลขร้อยละก็อยู่ที่ร้อยละ 56 ด้วยกัน อันถือเป็นตัวเลขสูงสุดสำหรับการสำรวจความคิดเห็นของชาวรัสเซียในปีนี้

นายฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ที่เดินทางมาเยือนกรุงเบอร์ลิน โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนี แสดงท่าทีสนับสนุนต่อยูเครน ในการทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย (Photo : AFP)

ตามมาด้วยประเทศที่แทบจะไม่น่าเชื่อว่า จะแซงหน้าสหรัฐฯ ไปได้อีกด้วยเช่นกัน นั่นคือ “อังกฤษ” ที่ถูกยกให้เป็นประเทศศัตรูหมายเลข 2 ของรัสเซียในการสำรวจปีนี้ ด้วยตัวเลขร้อยละ 49

ทั้งนี้ “อังกฤษ” ยังเบียดแซง “ยูเครน” ประเทศคู่สงครามกับรัสเซีย ที่กำลังโรมรันพันตูกันอย่างเลือดเดือด ตลอดช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมาอีกต่างหากอย่างแทบไม่น่าเชื่อด้วยเช่นกัน

เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ (ซ้าย) เดินทางเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน โดยมีประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ให้การต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ แสดงการสนับสนุนต่อยูเครน ในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย (Photo : AFP)

โดย “ยูเครน” มาอยู่ในอันดับที่ 3 สำหรับประเทศที่ชาวรัสเซียมองว่าเป็นศัตรู ด้วยคะแนนของการสำรวจความคิดเห็นที่ออกมาคือร้อยละ 43

ส่วน “สหรัฐฯ” ประเทศที่ใครหลายๆ คนคิดว่า จะเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของรัสเซีย กลับหล่นไปอยู่ในอันดับที่ 4 ต่อจาก “ยูเครน” โดยได้คะแนนจากการสำรวจที่ร้อยละ 40

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงสหรัฐฯ แล้ว ปรากฏว่า คะแนนของการสำรวจความคิดเห็นที่ได้ในปีนี้ ลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของปีที่แล้ว คือ 2024 (พ.ศ. 2567)

โดยการสำรวจเมื่อปีที่แล้วนั้น สหรัฐฯ ถูกชาวรัสเซียมองว่าเป็นชาติศัตรูหมายเลขหนึ่ง จำนวนมากถึงร้อยละ 76 มากกว่าปีนี้ถึงร้อยละ 36 หรือ 36 จุดด้วยกัน

ผลการสำรวจความคิดเห็นที่ออกมาในปีนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ที่สหรัฐฯ ไม่ได้รับการมองว่าเป็นชาติศัตรูระดับนัมเบอร์วันของรัสเซีย หรือถ้านับย้อนหลังไปก็อยู่ในสมัยของนายบารัก โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เหตุปัจจัยที่ทำให้ประชาชนชาวรัสเซีย มองว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศศัตรูลดจำนวนลง ก็มีขึ้นหลังการมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เริ่มสมัยที่ 2 ของเขาเมื่อวันที่ 20 มกราคมต้นปีนี้นี่เอง ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงท่าทีเป็นมิตรกับรัสเซีย มากกว่าในยุคสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เพิ่งหมดวาระไปในต้นปีนี้ ที่ทำให้ตัวเลขของการสำรวจพุ่งพรวดไปถึงร้อยละ 76 ของความคิดเห็นของชาวรัสเซียที่มองว่า สหรัฐฯ คือ ชาติศัตรูตัวฉกาจ

สาเหตุปัจจัยที่ทำให้ประชาชนชาวรัสเซียมีความคิดเห็นเช่นนั้น เพราะนายไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่แล้ว ได้ให้การสนับสนุนเป็นประการต่างๆ ทั้งเงินทุนและอาวุธแก่ยูเครน ในการทำสงครามต่อต้านรัสเซีย แถมยังเป็นหัวหอก หรือจ่าฝูงตัวนำ ในการชักจูงชาติพันธมิตรมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ รวมตัวกันช่วยเหลือแก่ยูเครน ในการต่อต้านรัสเซียด้วย

นอกจากนี้ ก็ยังมีประเด็นเรื่องการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน ทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ที่สหรัฐฯ ในยุคสมัยของอดีตประธานาธิบดีไบเดน ดำเนินการ และเป็นผู้นำชาติพันธมิตรอื่นๆ ร่วมมือกันดำเนินการ จนสร้างความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนชาวรัสเซียมิใช่น้อย

โดยสถานการณ์และบรรยากาศข้างต้น แตกต่างจากยุคประธานาธิบดีทรัมป์ในปัจจุบัน ที่ตัวแทนทั้งของฟากสหรัฐฯ และทางฝั่งรัสเซีย ได้มีการพบปะหารือกันในระดับต่างๆ จนมีทีท่าว่าความสัมพันธ์ที่เคยเลวร้ายในสมัยก่อนหน้า เริ่มกลับมามีสัญญาณดีขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบนัก เพราะผู้นำทั้งสองประเทศ คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย จะยังไม่มีการพบปะกันในระดับสุดยอด หรือซัมมิตกันก็ตาม โดยยังเป็นการหารือกันผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น

ส่วนสาเหตุปัจจัยที่ทำให้ประชาชนชาวรัสเซีย มองว่า “เยอรมนี” ก้าวขึ้นมาเป็นชาติศัตรูหมายเลขหนึ่ง และ “อังกฤษ” เป็นประเทศศัตรูของรัสเซียหมายเลข 2 เบียดแซงหน้าสหรัฐฯ ไปนั้น ก็มาจากท่าทีและนโยบายของผู้นำรัฐบาลประเทศทั้งสอง นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นนายฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนี และเซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ส่งสัญญาณท่าทีว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อรัสเซีย ด้วยการสนับสนุนยูเครน ในการทำสงครามต่อต้านรัสเซียเป็นประการต่างๆ นั่นเอง

ทหารเกาหลีเหนือที่ตกเป็นเชลยศึกแก่กองทัพยูเครน จากการเข้าร่วมรบกับกองทัพรัสเซีย ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในช่วงที่ผ่านมา (Photo : AFP)

พร้อมกันนี้ ทาง “ศูนย์เลวาดา” ยังได้สำรวจความคิดเห็นของชาวรรัสเซียในมุมมองที่เกี่ยวกับชาติที่เป็นมิตรกับรัสเซียอีกด้วย โดยผลปรากฏว่า “เบลารุส” ถูกมองว่าเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดที่สุดของรัสเซีย ด้วยตัวเลขสูงถึงร้อยละ 80 ตามมาอันดับ 2 เป็น “จีน” ที่ได้ร้อยละ 64 “คาซักสถาน” อยู่ในอันดับ 3 ที่ร้อยละ 36 และ “อินเดีย” อันดับ 4 ที่ร้อยละ 32 ขณะที่ “เกาหลีเหนือ” ซึ่งเอาชีวิตทหารของพวกเขามาทิ้ง และตกเป็นเชลยศึกในสมรภูมิรบรัสเซีย-ยูเครน จำนวนมิใช่น้อย กลับรั้งอยู่ในอันดับ 5 ที่ร้อยละ 30