ศึกสงบเรารบกันเอง! หลังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ลดอุณหภูมิลงโดยกัมพูชาปรับกำลังลดการเผชิญหน้า แต่หมากกลดึงไทยขึ้นศาลโลกยังเดินหน้าอย่างเข้มข้น กระนั้น โฟกัสประเด็นร้อนกลับมาอยู่ที่การเมืองภายในประเทศ

โดยเฉพาะมาตรา 112 และมาตรา144 กลายเป็น “รหัสร้อนสุดอันตราย” สำหรับสองพ่อลูกตระกูลชินวัตร

ท่ามกลางสถานการณ์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ ทักษิณ ชินวัตร ถูกท้าทายอำนาจ หลังประกาศยึดกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ให้กับพรรคเพื่อไทยเพื่อปูทางสู่การเลือกตั้ง แต่ถูก “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล สวนกลับด้วยการทวง “ปฏิญญาช็อกมินต์” ที่เคยชวนมาสร้างตำนาน “รักข้ามขั้ว” ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย

ที่สำคัญ ท่าทีที่ประกาศชัดว่าจะฟังนายกฯคนเดียว!! ทำให้ เทพไท เสนพงศ์ ตีความว่า “อนุทิน” ได้รับสัญญาณจากหัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ยืนเคียงข้างพรรคภูมิใจไทย และจะเป็นเงื่อนไขเดียว ที่ทำให้ ทักษิณและพรรคเพื่อไทยยินยอมผ่อนตาม

ในขณะที่เป็นจังหวะคดีความต่างๆของ “ทักษิณ” เริ่มเข้าสู่กระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นคดีชั้น 14 หรือคดีมาตรา 112 โดยคดีชั้น 14 นั้น แม้ศาลฎีกาฯเดิมนัดไต่สวนการบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ”ที่ไปรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และนัดพร้อมวันที่ 13 มิถุนายน ล่าสุดทนายความได้ขอขยายระยะเวลาในการรวบรวมเอกสารหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 23 มิถุนายน แต่ศาลฎีกาฯอนุญาตให้เลื่อนไปเป็นวันที่ 25 มิถุนายน ซึ่งต้องจับตาว่า ศาลนัดพร้อมในวันดังกล่าวจะมีการไต่สวนและนัดฟังคำสั่งคดีหรือสั่งคดีในวันดังกล่าวเลย 

อีกทั้งไทม์ไลน์สำคัญ ที่ประเดประดังเข้ามาคือในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม จะเริ่มมีการนัดสืบพยานในคดีความผิดตามมาตรา 112

แม้ฝ่าย “ทักษิณ” จะมีการเตรียมรับมือสถานการณ์เกี่ยวกับกรณีชั้น 14 ไว้ ทั้งบวกและลบและเลวร้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ศาลไต่สวนแล้วชี้ว่าไม่มีมูลแล้วยกฟ้อง หรือในทางกลับกันหากมีมูลแล้วนำไปสู่การนับวันจำคุกใหม่

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กรณีคดี มาตรา 112 นั้นเป็นคดีใหม่ ที่หากผลออกมาเป็นลบ ก็อาจจะมีการเพิ่มโทษให้กับ “ทักษิณ” ที่แน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความสั่นคลอนของฐานอำนาจรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

ขณะที่เมื่อหันมาทางปีก นายกฯลูกสาว นอกจากคดีความต่างๆที่จ่อรอคิวอยู่แล้วเป็น 10 เรื่อง ล่าสุด ป.ป.ช.มีมติรับสอบกรณี “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ส.ส. และเจ้าหน้าที่รัฐ รวมกว่าร้อยคน กรณีจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 โดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและสอง กรณีตัดงบรายจ่ายภาครัฐ เพื่อเอื้อโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

แต่อีกสำนวนพุ่งเป้า ส.ส.เพื่อไทย และที่ปรึกษานายกฯ ใช้ตำแหน่งแทรกแซงงบโครงการจัดการน้ำผ่าน อปท. เพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง

นั่นทำให้เราได้เห็นกลยุทธ์ของการ “ซื้อเวลา”  ไม่ว่าจะเป็นการความพยายามที่จะขยายเวลาการคดีความต่างๆออกไป รวมทั้งการยื้อปรับคณะรัฐมนตรีออกไปให้นานที่สุด เพื่อดึงจังหวะที่มีความได้เปรียบทางการเมือง

เพราะแม้พรรคเพื่อไทยจะพร้อมแตกหักกับพรรคภูมิใจไทย แต่พวกเขาต่างก็ไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง

กระนั้น ไม่เพียงสถานการณ์ที่ยากลำบากของสองพ่อลูกตระกูลชินวัตรเท่านั้น หากแต่การเมืองยังเกิดปรากฏการณ์แปร่งแปลกที่อาจนำไปสู่ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง

ดังที่ ไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย แนะให้จับตา 3 ประเด็นใหญ่

1. คำร้องยุบพรรคภูมิใจไทยถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แม้นายณฐพร โตประยูร ผู้ยื่นคำร้องจะถูกควบคุมตัว แต่ได้ยื่นบัญชีพยานและเอกสารครบถ้วนแล้ว ศาลสามารถดำเนินการไต่สวนต่อได้ตามกระบวนการ หากศาลวินิจฉัยว่าเข้าข่ายผิดจริง อาจนำไปสู่การยุบพรรค และถอดถอนผู้เกี่ยวข้องรวมกว่า 140 ราย ทั้ง ส.ส. และ ส.ว.

2. ปมแปรญัตติงบฯ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 กรณีนำงบรายจ่ายประจำที่ตั้งไว้ชำระหนี้ต่างประเทศไปใช้แจกเงิน ถือเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหาต่อ ครม. 2 ชุด คณะกรรมาธิการงบประมาณ และ ส.ส.-ส.ว. รวมเกือบ 80 คน หากศาลวินิจฉัยว่าผิดจริง อาจนำไปสู่การถอดถอนและล้างบางการเมืองครั้งใหญ่ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง

3. คดี ส.ส.เพื่อไทยแบ่งงบคนละ 50 ล้าน รวมกว่า 5,000 ล้าน กรณีมีการจัดสรรงบประมาณให้ ส.ส. พรรคเพื่อไทยนำไปใช้งานส่วนตัว ถือเป็นการกระทำที่ผิดมาตรา 144 เช่นกัน หากถูกวินิจฉัยว่าผิดจริง อาจส่งผลต่อการพ้นตำแหน่งของ ส.ส. และรัฐมนตรีทั้งคณะ

“ไพศาล” ระบุว่า หากทั้งสามคดีนี้มีคำวินิจฉัยจากศาลออกมาในทิศทางเดียวกัน อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของการเมืองไทย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ล้างบางการเมืองสีเทา” อย่างแท้จริง

ทั้งหมดทั้งมวล จึงต้องจับตาไทม์ไลน์สำคัญในห้วงเวลา 60 วันนับจากนี้ ใครจะอยู่ ใครจะไป ซึ่งนั่นจะทำให้หน้าไพ่การเมืองเปลี่ยน แต่จะถึง “พลิกฟ้าคว่ำดิน”หรือไม่ สุดจะคาดเดา