การประชุมแพทยสภาในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ได้กลายเป็นวาระแห่งชาติที่ถูกจับตามองไม่ใช่เพียงในแวดวงการแพทย์ แต่รวมถึงประชาชนทั่วไป นักการเมือง และสื่อมวลชนทั่วประเทศ

ประเด็นที่อยู่ในความสนใจคือ “การยืนยันหรือเปลี่ยนแปลงมติเดิม” ว่าด้วยการลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยอาการนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าป่วยในระดับวิกฤตจนต้องรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ไม่สามารถเข้าคุกได้ตามคำพิพากษา

และท่ามกลางกระแสกดดันทั้งจากฝ่ายการเมืองและประชาชน ได้ปรากฏเสียงสนับสนุนที่เข้มแข็งและชัดเจนต่อแพทยสภาให้ยืนหยัดรักษามติเดิม และยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์ โดยไม่ยอมให้การเมืองเข้าครอบงำองค์กรแห่งวิชาชีพนี้

พลังสนับสนุนจากหลากหลายภาคส่วน: สะท้อนความต้องการความเป็นธรรม

1. กลุ่มเสื้อหลากสีและประชาชนกว่า 52,000 รายชื่อภายใต้การนำของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ กลุ่มแพทย์และประชาชนจำนวนมากได้ร่วมลงชื่อสนับสนุนแพทยสภาให้ยืนยันมติเดิม พร้อมเรียกร้องให้กรรมการเข้าร่วมประชุมในวันที่ 12 มิ.ย. โดยย้ำถึงความสำคัญของจรรยาบรรณและความโปร่งใส

การแสดงออกในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปกป้ององค์กรแพทย์ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังคงให้ความสำคัญกับความถูกต้อง และผู้กระทำจะเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็ตาม

2. คปท. และกองทัพธรรม ซึ่งมวลชนทั้งสองกลุ่มนี้เคลื่อนไหวอย่างชัดเจนทั้งการเดินเท้าและยื่นหนังสือต่อแพทยสภา โดยยืนยันว่า “ไม่เชื่อว่านายทักษิณป่วยั้นวิกฤต” พร้อมสนับสนุนมติลงโทษแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ถือเป็นสัญญาณทางการเมืองจากกลุ่มภาคประชาชนที่ยังติดตามปมคดีทักษิณอย่างเข้มข้น

3. แพทย์จากหลายสถาบันร่วมแสดงจุดยืน โดยกลุ่มแพทย์จากรามาธิบดี จุฬา เชียงใหม่ ศิริราช ฯลฯ ต่างแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ต้องการให้การเมืองแทรกแซงการพิจารณาทางวิชาชีพ โดยย้ำว่าควรให้เกียรติการตัดสินใจขององค์กรแพทยสภาในฐานะกลไกควบคุมจรรยาบรรณแพทย์

4. อดีต ส.ว. และบุคคลทั่วไป อาทิ นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านสื่อว่าควรปล่อยให้แพทยสภาดำเนินการโดยไม่ถูกรบกวนจากการเมือง พร้อมระบุว่าการรักษาความเป็นอิสระของแพทยสภา คือหัวใจของการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการแพทย์

ศึกแห่งจริยธรรม: แพทยสภากับบทพิสูจน์

แพทยสภาในฐานะองค์กรกำกับมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ อยู่ในจุดที่ต้องเลือกระหว่างการยืนยันมติเดิมที่จะสะท้อนถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม การยึดมั่นในหลักฐาน และไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันใด ๆ

หรือการเปลี่ยนมติซึ่งอาจถูกตีความว่าแพทยสภาถูกแทรกแซง หรืออ่อนข้อให้กับอำนาจการเมือง

ในแง่นี้ มติของแพทยสภาจะไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษหรือให้โอกาสแพทย์ 3 รายเท่านั้น แต่เป็นบทพิสูจน์ความมั่นคงของสถาบันวิชาชีพต่อสายตาประชาชนทั้งประเทศ

“สิทธิ” กับ “จริยธรรม”: มุมมองทางกฎหมายและการเมือง

กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่าง “สิทธิของแพทย์ในการวินิจฉัยตามดุลยพินิจ” กับ “ความโปร่งใสและมาตรฐานวิชาชีพ” เพราะแม้แพทย์จะมีสิทธิในการตัดสินตามหลักวิชาการ แต่หากเกิดข้อสงสัยถึงความเที่ยงตรงโดยมีผลต่อคดีสำคัญระดับประเทศ ก็ควรได้รับการตรวจสอบโดยกลไกวิชาชีพเพื่อไม่ให้เกิดบรรทัดฐานที่ผิด

ขณะเดียวกัน การที่รัฐมนตรีอย่างนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ใช้อำนาจวีโต้ก็สะท้อนว่า “การเมืองไม่ยอมปล่อยมือ” จากเรื่องนี้ง่าย ๆ เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับคดีของอดีตนายกฯ ผู้มีอิทธิพลสูง

ทั้งนี้ไม่ว่าแพทยสภาจะเลือกทางใด การตัดสินใจครั้งนี้จะมีผลกระทบหลายด้าน โดยในด้านวิชาชีพ:หากยืนยันมติเดิมเท่ากับเป็นการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนต่อการตรวจสอบภายในวงการแพทย์ แต่ถ้าเปลี่ยนมติ อาจส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อกลไกภายใน และบ่อนทำลายจรรยาบรรณในระยะยาว

ในด้านการเมือง หากแพทยสภายืนยันมติเดิมจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกลุ่มการเมืองที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณว่าไม่สามารถควบคุมองค์กรอิสระได้

หากแพทยสภาเปลี่ยนมติ จะยิ่งเป็นการตอกย้ำข้อกล่าวหาเรื่องอำนาจรัฐเข้าครอบงำองค์กรอิสระ ซึ่งอาจนำไปสู่กระแสต่อต้านในระดับประชาชน

ในด้านความเชื่อมั่นของประชาชน ซึ่งประชาชนจำนวนมากกำลังเฝ้ารอดูว่า “จะยังไว้ใจระบบตรวจสอบภายในวิชาชีพได้หรือไม่” หากแพทยสภาไม่ยึดมั่นในความจริงและหลักฐาน จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมศรัทธาในระบบ

วาระนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของแพทยสภา

12 มิ.ย. 2568 คือจุดตัดสำคัญที่ไม่ได้สะท้อนแค่การบริหารองค์กรวิชาชีพ แต่เป็นเวทีพิสูจน์ความกล้าหาญ ความรับผิดชอบ และความโปร่งใสขององค์กรอิสระที่เป็นด่านหน้าของความยุติธรรมในประเทศ

หากแพทยสภายืนยันมติเดิมโดยไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดัน จะกลายเป็น “บรรทัดฐานใหม่” ที่ช่วยยกระดับจรรยาบรรณวิชาชีพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และทำให้ประชาชนกลับมาศรัทธาในระบบอีกครั้ง

ทว่าในทางตรงกันข้าม ถ้าแพทยสภาเปลี่ยนมติหรือมีสัญญาณว่าถูกครอบงำ ความเสียหายที่ตามมาอาจไม่สามารถประเมินได้ เพราะไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่นในองค์กรเดียว แต่คือรากฐานของความไว้วางใจต่อระบบทั้งหมดที่สั่นคลอน

                                  

#แพทยสภา #ชายชั้น14 #จรรยาบรรณแพทย์ #ทักษิณ #แพทย์กับการเมือง #องค์กรอิสระ #ประชุมแพทยสภา #ศรัทธาประชาชน #แพทย์ไทย #วิชาชีพแพทย์