เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 มิ.ย. 68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสุรินทร์ ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
จากนั้นเวลา 10.25 น. นายกฯและคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 มารอต้อนรับ และได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจ โดยมีนายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ รอให้การต้อนรับ และนั่งรถตู้เมอซิเดส เบนซ์ ทะเบียน นข 6689 มายังโรงพยาบาลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานการประชุมติดตามการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และมาตรการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัด ซึ่งมีประชาชน ส่วนราชการ กลุ่มเยาวชน และสส. ในพื้นที่ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยทั้ง 8 เขต มารอต้อนรับ
จากนั้นนายกฯ รับฟังรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ถึงสภาพลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัด และสถานการณ์ชายแดน โดยจังหวัดสุรินทร์เป็นพื้นที่ติดต่อชายแดนติดต่อกับกัมพูชา 125 กิโลเมตร ประกอบไปด้วย 4 อำเภอ คือ บัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือด่านช่องจอม และช่องทางธรรมชาติ 54 แห่ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ รายงานว่า ก่อนหน้านี้ด่านได้เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น. - 22.00 น. ภายหลังจากมีมาตรการควบคุมชายแดน จะเปลี่ยนเวลาเปิด - ปิด เป็นวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เวลา 08.00 - 15.00 น. ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการประกาศเลื่อนการเปิด - ปิดด่านเช่นกันโดยเปิดเวลา 09.00 น. และปิดเวลา 16.00 น. ซึ่งจะทำให้จะมีเวลาที่เปิด - ปิด ตรงกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น
ทั้งนี้นายกฯ สอบถามว่า ในพื้นที่สามารถประสานได้หรือไม่ ให้เปิดด่านเวลาตรงกัน ต้องให้ทางหน่วยงานความมั่นคงดูว่าเปิดให้เท่ากันได้หรือไม่
ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 จึงกล่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงจะลองประสานกับกองทัพฝ่ายกัมพูชาดู พร้อมยอมรับว่าอาจมีนัยบางอย่าง เหมือนมีลักษณะของการเมืองเล็กน้อย เพื่อชิงความได้เปรียบ และหลังจากนี้ ฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าราชการจังหวัด ในพื้นที่จะมีการหารือกันต่อไป
นายกฯ กล่าวว่า ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด - ปิด ตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากันจะดีกว่า ขอให้ลองดู คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีปัญหา
นายกฯ กล่าวว่า ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัด ที่รายงานความคืบหน้าสถานการณ์จริง บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และเมื่อสักครู่ได้มีการพูดถึงเรื่องหลุมหลบภัย ขอให้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทยว่า ต้องการซ่อมแซมแบบไหน เพราะชีวิตเด็กๆนักเรียน ต้องให้ความรู้เมื่อไหร่ที่จะต้องใช้หลุมหลบภัย และอยากให้บรรจุอยู่ในการเรียนการสอนทุกปีไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์ เพื่อให้เด็กๆ ทราบเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นว่าสถานการณ์ไหนควรใช้เมื่อไหร่
นายกฯ กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณแม่ทัพภาค 2 ที่อยู่หน้างานตลอดและทราบถึงแรงกดดันมากๆ เพราะตนได้ติดต่อกับกระทรวง กลาโหมและกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้นำฝ่ายกัมพูชาได้ทราบและเห็นใจมากๆว่า อยู่หน้างานจริงไม่เหมือนกับตอนอยู่ข้างหลัง บางทีเกิดกระแสมากมาย คนหน้างานคือคนที่เห็นเหตุการณ์ และต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด
ตนถึงได้พยายามเน้นเรื่องสันติภาพและความสงบสุข และได้ทราบข้อมูลจากทางหน้างาน จึงไม่อยากให้เกิดกระแสว่า ให้เกิดความรุนแรง ให้ลุย เพราะที่จริงแล้วต้องคิดถึงชีวิตของคนหน้างานว่ามีความกดดันสูงเมื่ออยู่ตรงนั้น เราเห็นอาวุธของกันและกัน เมื่อดูอาวุธ ดูความพร้อม หากต้องเกิดความไม่สงบจริงๆ หรือเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นจริง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่จะเป็นเรื่องใหญ่ตนพยายามที่จะจะสื่อสารเรื่องนี้ถึงความสงบสุข และเมื่อผู้นำคุยกันระหว่างนายกฯกัมพูชา ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ และล่าสุดที่คุยกันก็อยากให้ทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข และตนขอยืนยันเรื่องการรักษาอธิปไตยเอาไว้
นายกฯ ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาสำคัญไม่น้อยกว่ากระทรวงกลาโหมนั่นคือกระทรวงมหาดไทย เพราะมหาดไทยคือบ้าน ทหารคือรั้วต้องให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีมในการดูแลบ้าน ซึ่งแต่ละจังหวัดต้องทำงานร่วมกันประสานกันว่าเกิดเหตุการณ์ใดบ้างตามแนวชายแดน และในบ้านของเรามีที่ปลอดภัยพอหรือไม่ และมีของ หรือมีปัจจัย4 พอหรือไม่สำหรับคนในบ้าน อันนี้คือเรื่องที่สำคัญดูเรื่องนี้เป็นสำคัญช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพราะเวลาเกิดเหตุการณ์ทำงานแบบบูรณาการก็จะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้น
นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องความสงบได้พูดคุยกับนายภูมิธรรม และพล.อ.ณัฐพล ซึ่งได้รายงานเสมอว่า มีกระบวนการ หรือข้อความแบบไหนที่ภายในคุยกันไว้แล้วยังไม่สามารถสื่อสารได้ เพราะการคุยกันระหว่างประเทศต้องเคารพกติกา และข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย เช่น ระดับแม่ทัพคุยกัน ระดับทหารคุยกัน ระดับนายกรัฐมนตรีคุยกัน ระดับรัฐมนตรีกลาโหมคุยกันว่าอย่างไร เราต้องบอกกันตลอด เพื่อให้การสื่อสารตรงกัน และไม่เข้าใจผิดซึ่งกันและกัน อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเมื่อพูดกันไปมากๆ ทำให้เข้าใจผิดและเกิดเรื่องใหญ่พยายามจะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งขอขอบคุณหน้างานที่เหนื่อยมากๆ ประสานงานกันจนประสบความสำเร็จขอบคุณกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ที่ร่วมมือกันอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาอธิปไตยของเราไว้ รักษาความสงบสุขของบ้านเรา ขอชื่นชมทุกคน
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนประชาชนเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่และแน่นอนว่สเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอะไรที่เกิดความเร่งด่วนจำเป็น ขอให้ แต่ละกระทรวงรายงานตรงมายังกระทรวง เพราะทั้งสองรองนายกฯก็ติดต่อตรงกับตนอยู่แล้ว ยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยอยากให้ทำความเข้าใจกับประชาชนเยอะๆในพื้นที่ว่าทำอะไรอยู่บ้าง จะได้ให้ทุกคนเข้าใจตรงกันไม่เข้าใจผิด และไม่ให้ปล่อยมีเฟคนิวส์ อาจจะโดนไอโอบ้าง ไม่รู้มาจากไหน ก็มีการปล่อยข้อมูลที่เกิดความเข้าใจผิดกัน อันนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมได้
ทุกท่านที่มีตำแหน่งตรงนี้มีความน่าเชื่อถือ ที่สามารถติดต่อประชาชนได้ สามารถบอกได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง ไม่เป็นเรื่องจริง อะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงก็ขอให้รีบแก้ไข ไม่อยากให้ขยายความไปมากกว่านี้ ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เป็นทีมเดียวกัน ยังไงประเทศไทยเป็นของพวกเราทุกคน เราต้องรักษาไว้และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราอย่างเต็มที่รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วย
“จากนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำ หรือกองทัพเป้าหมายเดียวกันคือ การรักษาสันติภาพเอา ไว้ส่วนเรื่องรายละเอียดก็ว่ากันไปตามหัวข้อแต่เรื่องที่จะดีลกันจะไม่เอามารวมกัน พูดคุยกันทีละข้อ เคลียร์กันแต่ละเรื่องไป“ นายกฯ กล่าว