เลื่อนประชุมบอร์ดใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ 11 มิ.ย.นี้ ขอใช้งบทะลุ 4 แสนล้านบาท

วันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เดิมกำหนดไว้วันที่ 11 มิ.ย.68 มีความจำเป็นต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากต้องรอให้มีข้อสรุปชัดเจนจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทก่อน โดยหลักการใช้จ่ายเม็ดเงินในส่วนนี้จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่าแต่ละโครงการที่หน่วยงานต่างๆ เสนอเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ หลังจากได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วจึงค่อยเสนอให้ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาต่อไป โดยเรื่องนี้จะไม่รีบร้อน เพราะเงินจำนวนนี้ต้องใช้ให้ถูกต้อง ดูมาเบื้องต้น อะไรที่เสนอมาแล้วไม่อยู่ในสิ่งที่ควรจะเป็นก็ต้องให้กลับไปทบทวนใหม่

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังกล่าวว่า ขณะนี้มีคำขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เข้ามาแล้วเป็นหลักหมื่นโครงการ คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 4 แสนล้านบาท มีทั้งคำขอในส่วนของโครงการลงทุนเกี่ยวกับถนน น้ำ ท้องถิ่น และอื่นๆ ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯต้องมาตีกรอบเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกัน

สำหรับโครงการลงทุนที่ใช้งบประมาณต่ำกว่า 5 แสนบาทจะตัดทิ้งทันที เพราะโครงการขนาดนี้จะใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ไม่ได้เป็นการ e-bidding เนื่องจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้การใช้จ่ายเม็ดเงินมีความโปร่งใสมากที่สุด เพราะงบประมาณส่วนนี้ถูกจับจ้องอย่างมาก ดังนั้นโครงการที่จะเข้ามาขอใช้เม็ดเงิน จะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่มีความถูกต้อง และเป็นโครงการที่มีความพร้อม

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการในที่ประชุม ครม.คือ งบประมาณปี 2569, งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และงบกลางที่หลายส่วนงานมีคำขอเข้ามามาก โดยกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่มีการเอื้อประโยชน์ และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องสกรีนทุกโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้มากที่สุด

โดยแนวทางการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท อาจจะไม่ได้ใช้ในสำหรับโครงการลงทุนทั้งหมด โดยจะต้องจัดสรรบางส่วนเพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รองรับโครงการจ้างงานต่างๆ โดยทั้งหมดจะต้องมาดูความเหมาะสม และความจำเป็นอีกครั้งเกี่ยวกับกรอบแนวทางการดำเนินการว่าควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจมากที่สุด ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสรุปแบ่งการจัดสรรเม็ดเงินออกเป็นล็อต ๆ เพื่อเสนอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ

"เราปรับเปลี่ยนจากการแจกเงินหมื่นมาเป็นเรื่องนี้เพื่อจะช่วยทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการลงทุน Supply chain ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมด จะได้รับผลกระโยชน์ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจจะเกิดการหมุนเวียนหลายรอบ แม้ว่าการเติมเงินจะมีข้อดีคือ เร็ว ใส่ลงไปปุ๊บ มีผลทันที แต่การปรับมาเป็นการลงทุน มีการทอดเวลา เพราะต้องมีการจัดซื้อจัดจ้าง ถือเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน ถือเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานให้ความเห็นเข้ามา ครม.ก็รับฟัง และปรับวิธีไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป" นายจุลพันธ์ กล่าว

ส่วนที่มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐชัดเจนที่สุดตั้งแต่ไตรมาส 3/68 เป็นต้นไปนั้น รมช.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีข่าวดีแล้วว่า เริ่มมีความชัดเจนจากที่สหรัฐฯ ตอบรับอย่างเป็นทางการที่จะเจรจาเรื่องภาษีกับประเทศไทย ซึ่งหากผลการเจรจาออกมาในทิศทางที่ดี ก็เชื่อว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะเบาบางลง