วันที่ 10 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า...
[ชาตินิยมก้าวหน้า]
หมายเหตุ - ข้อเขียนนี้เป็นบททดลองเสนอแนะการช่วงชิงความหมาย "ชาติ" และ "ชาตินิยม" ให้ผสมผสานเข้ากับสากลนิยม สังคมนิยม ภราดรภาพ มนุษยภาพ
ชาตินิยมก้าวหน้า
“ชาติ” ในภาษาอังกฤษ คือ Nation มีรากศัพท์จากภาษาละติน “nationem” โดยมีคำกริยา คือ “nascere” ซึ่งแปลว่า “เกิด” ในภาษาฝรั่งเศส ก็ใช้คำว่า Nation เหมือนกับภาษาอังกฤษ สืบมาจากคำกริยา naître ที่แปลว่า “เกิด” และคำนาม naissance ที่แปลว่า “การเกิด” ส่วนในภาษาไทย ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน “ชาติ” สืบมาจากคำในภาษาบาลี “ชาตะ” ที่แปลว่า “เกิด” เมื่อพิจารณาจากศัพทมูลวิทยาแล้ว จะเห็นได้ว่า คำว่า “ชาติ” หรือ “Nation” นั้น มีความสัมพันธ์กับการเกิด ต้นกำเนิด รากเหง้านั่นเอง
เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน ได้ให้คำนิยาม “ชาติ” ไว้ใน “ชุมชนจินตกรรม” หนังสือที่เป็นอนุสาวรีย์ของเขาว่า “ชาติ คือ ชุมชนจินตกรรมการเมือง และจินตกรรมขึ้นโดยมีทั้งอธิปไตยและมีขอบเขตจำกัดมาตั้งแต่กำเนิด” [1]
จากนิยามของ “ชาติ” เช่นนี้ แยกได้เป็น 4 องค์ประกอบ ได้แก่
ประการแรก “ชาติถูกจินตกรรมขึ้น สมาชิกของชาติที่แม้จะเล็กที่สุดก็ตาม แม้จะไม่เคยรู้จักเพื่อนสมาชิกร่วมชาติทั้งหมดของตน ไม่เคยพบเห็นพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด หรือไม่เคยแม้กระทั่งได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาเหล่านั้นก็ตาม กระนั้น ในจิตใจของแต่ละคนก็มีภาพพจน์ของความเป็นชุมชนร่วม...” [2]
ประการที่สอง “ชาติถูกจินตกรรมขึ้นมาอย่างมีขอบเขตจำกัด เพราะว่า แม้กระทั่งชาติที่ใหญ่โตที่สุด ที่ถึงแม้จะมีประชาชนพลเมืองเป็นพันล้านคน ก็มีเขตแดนจำกัด สุดเขตแดนก็ยังมีชาติอื่นๆอยู่ด้วย ไม่มีชาติใดที่จะจินตกรรมตนเองได้ว่ามีเขตแดนครอบคลุมมนุษยชาติทั้งหมด...” [3]
ประการที่สาม “ชาติถูกจินตกรรมขึ้นให้มีอธิปไตย ก็เพราะความคิดเกี่ยวกับชาติเกิดขึ้นมาในยุคสมัยแห่งภูมิธรรมและการปฏิวัติที่กำลังบ่อนทำลายความชอบธรรมของอาณาจักรและราชวงส์ที่ปกครองกันมาลดหลั่นเป็นแนวตั้งด้วยเทวโองการ...” [4]
ประการที่สี่ “ชาติถูกจินตกรรมขึ้นเป็นชุมชน ก็เพราะชาติถูกทำให้โดนใจว่าเป็นภราดรภาพอันลึกซึ้งและเป็นแนวระนาบ แม้ว่าจะมีความไม่เสมอภาค มีการกดขี่ขูดรีดดำรงอยู่ในแต่ละชาตินั้นก็ตาม ในที่สุดแล้ว ตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมา ภราดรภาพอันนี้แหละที่ทำให้เป็นไปได้ที่ผู้คนเป็นจำนวนหลายล้านคนเต็มใจที่จะยอมตาย (ไม่ใช่ฆ่า) เพื่อจินตกรรมอันมีขอบเขตจำกัดนี้” [5]
แอรเนสต์ เรอนอง เสนอไว้ว่า “ชาติ” ประกอบขึ้นได้ต้องอาศัยหลักการทางจิตวิญญาณ การพิจารณาจากเชื้อชาติ ภาษา ผลประโยชน์ร่วม ศาสนา ภูมิศาสตร์ ความจำเป็นทางการทหาร ทั้งหลายเหล่านี้ ยังไม่เพียงพอกับการเป็นหลักการทางจิตวิญญาณที่ประกอบร่างเป็นชาติได้ แต่ “ชาติ” จะก่อร่างขึ้นได้ต้องใช้ทั้งอดีตและปัจจุบัน อดีต คือ การครอบครองเป็นเจ้าของความทรงจำในอดีตร่วมกัน เมื่อเป็นความทรงจำร่วม ก็ต้องมีการเลือกจำสิ่งใด เลือกลืมสิ่งใด ส่วนปัจจุบัน คือ ความยินยอมพร้อมใจ ความปรารถนาที่จะอยู่อาศัยใช้ชีวิตร่วมกัน [6]
ชาตินิยม คืออะไร?
หากแปลกันตรงตัว ก็คือ ลัทธินิยมในชาติ
แล้วลัทธินิยมในชาตินั้น ชาติอะไรล่ะ? ชาติแบบใด? องค์ประกอบหรือปัจจัยใดบ้างที่ถูกนับรวมเข้ามาอยู่ใน “ชาติ”?
คำว่า “ชาตินิยม” เลื่อนไหลไปตามช่วงเวลา ถูกนำมาใช้และตีความในฐานะเป็นความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองซึ่งแตกต่างกันไปตามยุคสมัย ในช่วงเวลาหนึ่ง มันเป็นเครื่องมือชั้นดีในการต่อสู้กับศาสนจักร เพื่อสร้างรัฐชาติ รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ ในเวลาต่อมา มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญให้กระฎุมพีต่อสู้กับกษัตริย์ ขุนนาง และพระ จนกระฎุมพีขึ้นมีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจ (เช่น Qu’est-ce que le Tiers Etat ? หรือ “อะไรคือฐานันดรที่สาม?” ของ Sieyès ที่นิยามคำว่า “ชาติ” เสียใหม่ ให้หมายถึงเฉพาะพวกฐานันดรที่ 3) ในช่วงศตวรรษ 20 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันกลายเป็นแนวคิดอุดมการณ์ของนักปฏิวัติของอาณานิคมในแอฟริกาและเอเชียที่ใช้ต่อสู้และสร้างขบวนการปลดแอกจากเจ้าอาณานิคม
เช่นเดียวกัน มีผู้นำ ผู้ปกครอง นักการเมืองจำนวนมาก นำ “ชาตินิยม” ไปดัดแปลงลดทอนให้เหลือเพียง “เชื้อชาตินิยม” จนนำมาซึ่งเผด็จการเบ็ดเสร็จ สงคราม การรุกรานประเทศอื่น และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว หรือเซอร์เบียสมัยสโลโบดัน มิโลเววิชฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บอสเนีย เป็นต้น
นี่จึงเป็น “สมรภูมิ” ของการแย่งชิงสถาปนาความหมายของ “ชาติ และ “ชาตินิยม”
“ชาติ” จะต้องไม่หมายถึง เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา สีผิว หรือเส้นเขตแดนเท่านั้น
แต่ “ชาติ” คือ จินตนาการร่วมกันของสมาชิกในชาติ มีอดีตร่วมกัน อยู่กับปัจจุบันร่วมกัน ฝันและสร้างอนาคตร่วมกัน
“ชาติ” จะต้องไม่หมายถึง การใช้อำนาจขีดเส้นแบ่งดินแดน แล้วกำหนดโยนลงไปให้คนในเขตแดนนี้เป็นชาตินี้ คนในเขตแดนนั้นเป็นชาตินั้น
แต่ “ชาติ” คือ เจตจำนงของสมาชิกในชาติ ที่เกิดความรู้สึกร่วมกัน
“ชาติ” จะต้องไม่หมายถึง การหลงคลั่งว่ามีแต่ชาติตนที่ดีเลิศประเสริฐที่สุด และดูถูกเหยียดหยาม ข่มเหง กดขี่ รุกราน ชาติอื่น
แต่ “ชาติ” คือ การอยู่ร่วมกันของคนในชาติตนเอง โดยเคารพชาติอื่น ไม่ต้องเหยียดหยาม เบียดเบียน รุกราน ชาติอื่น เพราะ คนแต่ละชาติต่างก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน
“ชาตินิยมก้าวหน้า” ทำให้จูเซปเป้ มาซซินี่ จูเซปเป้ การิบัลดี รวมประเทศอิตาลีได้สำเร็จ
“ชาตินิยมก้าวหน้า” ทำให้ติโต้นำพายูโกลาเวียสู้กับนาซี/ฟาสซิสต์และรวมประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งประกอบไปด้วยหลายเชื้อชาติ เข้าเป็นประเทศเดียวกัน โดยยังเคารพความคิด ความเชื่อ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมของแต่ละเชื้อชาติได้
“ชาตินิยมก้าวหน้า” ทำให้โฮจิมินห์ปลดแอกเวียดนามจากฝรั่งเศส และทำสงครามอันเป็นธรรมขับไล่ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา จนรวมประเทศเป็นเวียดนามได้สำเร็จ
“ชาตินิยมก้าวหน้า” ทำให้ผู้นำในแอฟริกาต่อสู้ปลดแอกจากเจ้าอาณานิคม หลอมรวมจิตวิญญาณแบบแอฟริกันเข้ากับความคิดสากล สร้างชาติขึ้นใหม่ เช่น ปาทริซ ลูมุมบ้า ในคองโก ควาเม่ เอนกรูมา ในกาน่า เมดี เบน บาร์กา ในโมร็อกโก อมิลการ์ กาบราล ในกินีบิสเซา โธมัส ซังการ่า ในบูกินาร์ฟาโซ เป็นต้น
ปัญญาชนและนักการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนไม่น้อยที่ผสมผสานปรุงแต่งให้ชาตินิยมสอดคล้องกับสากลนิยม ความหลากหลายของเชื้อชาติ สังคมนิยม และมนุษยภาพได้ เช่น ปรีดี พนมยงค์, กุหลาบ สายประดิษฐ์ ของไทย ซูการ์โน, ปรามูดียา อานันตา ตูร์ ของอินโดนีเซีย อองซาน ของพม่า เป็นต้น
ใน A Life Beyond Boundaries หนังสืออัตชีวประวัติของเบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน ได้กล่าวเตือนถึง “อันตรายของการมีทัศนะโลกแคบอย่างอวดดี หรือของการลืมไปว่า ชาตินิยมที่จริงจังนั้น คือ ชาตินิยมที่ผูกกันเข้ากับความเป็นสากลนิยม” [7] และ “ชาตินิยมและโลกาภิวัตน์นั้นมีแนวโน้มที่จะขีดวงจำกัดทัศนะของเรา และลดทอนความซับซ้อนของเรื่องต่างๆลงไป นี่คือเหตุผลว่า ทำไมสิ่งที่จำเป็นมากขึ้นทุกทีก็คือการผสานเข้ากันอย่างแยบยลและจริงจังของความเป็นไปได้ต่างๆในลักษณะที่เป็นการปลดปล่อยทั้งชาตินิยมและสากลนิยม...” [8] ในขณะเดียวกัน เขาก็ยืนยันไว้ว่า “ทั้งนี้ เพราะประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ยกเว้นในกรณีของพรรคบอลเชวิคของเลนิน ได้แสดงให้เห็นเด่นชัดว่า ไม่มีขบวนการปฏิวัติใดจะประสบชัยชนะได้ หากมิได้พิชิตหรือได้รับคำสรรเสริญจากนักชาตินิยม” [9]
โฮโม เซเปียนส์ แบบมนุษย์อย่างเราๆ ดำรงอยู่และปรับตัวจนอยู่รอด ไม่เหมือนกับสกุลอื่นๆที่สูญพันธุ์ไป นั่นก็เพราะว่า มนุษย์มีความสามารถในการจินตนาการร่วมกันขึ้นมา พร้อมใจกันเชื่อในสิ่งที่จินตนาการนั้นร่วมกัน และพร้อมจะเลิกเชื่อได้ เพื่อไปสร้างจินตนาการร่วมกันใหม่
เมื่อจินตนาการของมนุษย์ในวันนี้ ยังจำกัดอยู่กับ “ชาติ” “ชาติ” เป็นจินตกรรมรวมหมู่ร่วมกันที่ทำให้ชุมชนหนึ่งเชื่อโดยพร้อมกันว่า พวกเขามีชะตากรรมร่วมกัน ผูกพันกัน หลอมรวมพลังกันเพื่อไปสร้างสรรค์สิ่งต่างๆเพื่อทุกๆคนได้ด้วยกันในนามของชาติ ด้วยความสำคัญของ “ชาติ” และ “ชาตินิยม” เช่นนี้เอง เราจึงไม่สามารถปล่อยให้พวกล้าหลัง พวกคลั่งชาติ พวกกระหายเลือดกระหายสงคราม หยิบคำเหล่านี้ไปสร้างความหมายแต่เพียงผู้เดียว ปัญญาชนและนักการเมืองหัวก้าวหน้าผู้รักชาติ จำเป็นต้องแย่งชิงการอธิบายและช่วงชิงความหมาย “ชาติ” และ “ชาตินิยม” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลานี้ เป็นห้วงเวลา “เปลี่ยนผ่าน” ของสังคมไทยที่ “สิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่ยังไม่ตาย และสิ่งใหม่กำลังจะเกิด แต่ยังไม่เกิด” เป็นห้วงเวลาที่สังคมไทยสูญเสียความเชื่อความศรัทธากับจินตกรรมร่วมกันที่เคยยึดถือกันมานมนาน และเป็นห้วงเวลาที่สังคมไทยกำลังโหยหาหลักการนามธรรมใหม่ที่คนในสังคมสามารถจินตนาการร่วมกันและยึดมั่นร่วมกันได้ ห้วงเวลาเช่นนี้เอง เป็นโอกาสสำคัญที่เราต้องช่วงชิงสถาปนา “ชาตินิยม” เสียใหม่ ให้เป็น “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ผสานกับสากลนิยม สังคมนิยม ภราดรภาพ และมนุษยภาพ
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่คัดเลือกสมาชิกในชาติจาก “เชื้อชาติ” หากใครไม่ใช่เชื้อชาติเดียวกัน ก็ต้องถูกกีดกัน ถูกเลือกปฏิบัติ
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่หลอมรวมเอาประชาชนทั้งผองร่วมกัน เคารพความแตกต่างหลากหลายของคนในชาติ โดยไม่แบ่งแยก กีดกัน หรือเลือกปฏิบัติจากเหตุผลทางเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ภาษา ลัทธิความเชื่อ เพศสภาพ เพศวิถี ประเพณี และวัฒนธรรม ยึดมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ประกันความเสมอภาคเท่าเทียมให้กับคนทุกคน
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” แบบที่ปัญญาชนอนุรักษ์นิยมได้สร้างอุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” เพื่อผนวกเอา “ชาติ” กับ “กษัตริย์” เข้าเป็นสิ่งเดียวกัน เขียนประวัติศาสตร์ให้กษัตริย์เป็นศูนย์กลางและวีรบุรุษ จนทำให้ผู้ครองอำนาจสามารถนำเรื่อง “ชาติ” และ “กษัตริย์” มาเป็นข้ออ้างในการกำจัดฝ่ายตรงข้าม
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ “ชาติ” คือ ประชาชนในชาติร่วมกันสร้างขึ้น ความเจริญก้าวหน้า และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชาติล้วนแล้วแต่มีชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนอยู่ในนั้น “ชาติ” ที่ประกอบไปด้วยประชาชน “ชาติ” ที่ประชาชนในชาติเคารพกษัตริย์ในฐานะตำแหน่งประมุขของประเทศ มิใช่สักการะบูชาดุจดังสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนนำมาใช้อ้างประหัตประหารกัน “ชาติ” ที่ประชาชนในชาติ “รักชาติ” เพราะ ต้องการให้ชาติที่เป็นของทุกคนนั้นดี มิใช่รักชาติแบบลุ่มหลงจนนำมาทำร้ายคนในชาติกันเอง
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่เอาชาติเป็นของตนเอง ผูกขาดความรักชาติไว้แต่พวกตนเอง ใครที่คิดแตกต่าง ก็ถูกประณามว่า “ชังชาติ”
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ “ชาติ” เป็นของคนทุกคนในชาติ รักและหวงแหนร่วมกัน เสนอแนะ ตักเตือน วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความปรารถนาดีไมตรีจิต
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่ให้กลุ่มคนชนชั้นนำไม่กี่คนอ้าง “ชาติ” สงวนสิทธิชี้ขาดในการกำหนดผู้ปกครองประเทศ
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ผู้ปกครองประเทศมาจากการเลือกของคนในชาติร่วมกัน ยอมรับในกติการการเลือกร่วมกัน ขึ้นปกครองประเทศตามวาระ ไม่ผูกขาดอำนาจ มีโอกาสในการเปลี่ยนผู้ปกครองอย่างสันติตามกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับ
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่มีนักการเมืองหรือข้าราชการจำพวก “รักชาติจนน้ำลายไหล” หรือ “ จงรักภักดีจนอ้วนพี” กล่าวอ้าง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ทุกวัน 3 เวลา หลังอาหาร เพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการครองอำนาจ กอบโกยผลประโยชน์ และกำจัดฝ่ายตรงข้าม
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน จัดการนักการเมืองและข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชั่น เบียดบังเอาผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติไปเป็นของตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่เลือกข้าง/สวามิภักดิ์ กับมหาอำนาจข้างใดข้างหนึ่ง โดยพิจารณาว่าพวกคณะผู้ปกครองได้ประโยชน์อะไรจากมหาอำนาจเหล่านั้น เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่พวกผู้ปกครองประเทศ ใช้ “ชาติ” เป็นเครื่องมือปลุกระดมคนในชาติให้เกลียดชังชาติอื่น
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่มีอธิปไตยของตน มีอิสรภาพ ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำ ควบคุม บังคับ สั่งการ กดดันจากประเทศอื่นใด ดำรงรักษาสถานะความเป็นกลางในสังคมโลก เคารพชาติอื่นซึ่งกันและกันตามหลักภราดรภาพ เคารพสิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศ สนับสนุนสันติภาพ รักษาตำแหน่งแห่งที่และบทบาทของตนได้อย่างมีดุลยภาพท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ โดยไม่เอนเอียง ไม่เป็นลูกสมุน ไม่เป็นลูกไล่ให้กับมหาอำนาจประเทศใดทั้งสิ้น
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่จัดสรรอำนาจ ทรัพยากร เงิน โอกาส ให้แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ จนสามารถผูกขาดเศรษฐกิจ ขูดรีดเอากับประชาชนคนในชาติ สร้างความมั่งคั่งให้กับพรรคพวกตนเอง
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่พัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญรุดหน้าพร้อมกับให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของคนในชาติ ความเสมอภาคเท่าเทียม ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ มิใช่คำนึงแต่ “ตัวเลข” และ “ความมั่งคั่ง” ของคนไม่กี่ครอบครัว
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่สถานะทางเศรษฐกิจของคนในชาติแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว คนไม่กี่คนไม่กี่ตระกูลครอบครองอำนาจ ทรัพยากร สะสมความมั่งคั่ง เกือบทั้งหมดในชาติ ส่วนคนส่วนใหญ่ในชาติกลับดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่มีความยุติธรรมทางสังคม สร้างหลักประกันให้ทุกคนในชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดีตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดดี เรียนดี ชีวิตดี ที่อยู่อาศัยดี สิ่งแวดล้อมดี สาธารณสุขดี มีโอกาสดีในการแสวงหาความรู้ พัฒนาตนเอง ยกระดับสถานะทางเศรษฐกิจของตนเอง
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่กองทัพแทรกแซงการเมืองได้ตลอดเวลา ทำตนเสมือน “รัฐซ้อนรัฐ”
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่มีกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้ง กองทัพอาชีพที่ทันสมัย ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ ไม่แทรกแซงการเมือง ไม่เฝ้ารอก่อรัฐประหาร
เราไม่ต้องการ “ชาตินิยมล้าหลัง” ที่คนในชาติต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน มือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่กลับมาสามัคคีกันอย่างปลอมๆไปกับเรื่องโง่ๆที่ผู้ปกครองปลุกปั่นขึ้นมา
แต่เราต้องการ “ชาตินิยมก้าวหน้า” ที่ทุกคนมีความเห็นอกเห็นใจกันในฐานะเพื่อนมนุษย์และคนในชาติ พึ่งพาอาศัยกันฉันท์มิตร มีความทรงจำร่วมกันทั้งสุขและทุกข์ มีปัจจุบันที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และมีอนาคตที่ฝันและสร้างร่วมกัน
ในเมื่อ วันนี้ มนุษย์ยังคงหนี “ชาติ” และ “ชาตินิยม” ไม่พ้น
ก็ต้องสร้างชาติให้ก้าวหน้า
สร้างชาตินิยมให้เป็นชาตินิยมก้าวหน้า สอดคล้องกับ สากลนิยม สังคมนิยม ภราดรภาพ มนุษยภาพ
เชิงอรรถ
[1] เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม.บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่หลายของชาตินิยม, แปลจาก Imagined Communities. Reflections on the Origin and Spread of Nationalism โดย กษิร ชีพเป็นสุข, เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช, คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์, ฉลอง สุนทราวาณิชย์, ทรงยศ แววหงษ์, ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ภัควดี วีระภาสพงษ์, วีระ สมบูรณ์, ศุภมิตร ปิติพัฒน์, บรรณาธิการแปล ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552, หน้า 9.
[2] พึ่งอ้าง, หน้า 10.
[3] พึ่งอ้าง, หน้า 12.
[4] พึ่งอ้าง, หน้า 12.
[5] พึ่งอ้าง, หน้า 13.
[6] Ernest Renan, Qu’est-ce qu’une nation ?, 1882.
[7] เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, ไกลกะลา (แปลจาก A Life Beyond Boundaries โดย ไอดา อรุณวงศ์), สำนักพิมพ์อ่าน, 2562, หน้า 16.
[8] พึ่งอ้าง, หน้า 236.
[9] เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, “บ้านเมืองเราลงแดง. แง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรมของรัฐประหาร 6 ตุลาคม” (แปลจาก “Withdrawal Symptoms : Social and Cultural Aspects of the October 6 Coup” โดย เกษียร เตชะพีระ, ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ), ใน ศึกษารัฐไทย ย้อนสภาวะไทยศึกษา, สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, 2558, หน้า 106.