ความตึงเครียดบริเวณชายแดน "ไทย-กัมพูชา" เริ่มปะทุดุ้ดือขึ้นมา หลังมีการปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งทำให้กัมพูชารายงานอ้างว่า มีทหารเสียชีวิต 1 นาย เหตุเกิดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จากเหตุการณ์นี้ ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาค

วันที่ 4 มิถุนายน 2568  รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ประกาศยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) กรณีข้อพิพาทพรมแดนกับประเทศไทยใน 4 พื้นที่ ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย (หรือที่รู้จักในชื่อ "ตากระเบย") พร้อมระบุว่าจะไม่หารือประเด็นนี้ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ กรุงพนมเปญ

วันที่ 7 มิ.ย. 68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ลงนามในคำสั่งกองทัพภาคที่ 2 เรื่อง การควบคมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่รับผิดชอบของกองกําลังสุรนารี ตามคําสั่งกองทัพบก ที่ 8062568 เรื่องการควบคุม การเปิด-ปิดจุดผ่านแดน ทุกประเภท ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

วันที่ 8 มิถุนายน 2568  เว็บไซต์ข่าวของกัมพูชา "Khmer Times" (ขแมร์ ไทม์ส) ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการตอบโต้ของรัฐบาลกัมพูชาต่อการประกาศปิดจุดผ่านแดนจากไทย โดยกัมพูชาตัดสินใจจำกัดระยะเวลาการเข้าประเทศของพลเมืองไทยให้เหลือเพียง 7 วัน จากปกติ 60 วัน เพื่อเป็นมาตรการโต้ตอบการดำเนินการของไทย โดยชาวไทยที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่กัมพูชาจะต้องออกจากประเทศภายในระยะเวลา 7 วัน และหากเกินกำหนดจะต้องประทับตราหนังสือเดินทางใหม่

วันที่ 8 มิถุนายน 2568 รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศผ่านโพสต์ใน X ว่า ทั้งสองประเทศตกลงที่จะร่วมมือผ่านกลไกชายแดน JBC โดยมีกำหนดการประชุมเพื่อหารือและลดความตึงเครียดในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กรุงพนมเปญ

วันที่ 9 มิถุนายน 2568 กัมพูชาตกลงที่จะถอนทหารกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่ห่างจากจุดปะทะ และได้ดำเนินการถมสนามเพลาะที่ขุดไว้ตามข้อเสนอของไทย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพธรรมชาติเดิม

การหารือและการตกลงร่วมกันในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา และลดความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน โดยทั้งสองประเทศมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความร่วมมือในอนาคตเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ขัดแย้งในพื้นที่