ผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กองทัพรัสเซีย กรีธาพลยกข้ามพรมแดนเข้ามารุกรานยูเครน เมื่อกว่า 3 ปีก่อน ที่ถึง ณ ปัจจุบันการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป แถมมีแนวโน้มท่าทีที่ดุเดือดเข้มข้นขึ้นทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งทางฟากรัสเซีย และทางฝั่งยูเครน ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงก็ได้สร้างความตื่นตัวทางการทหาร เสถียรภาพทางความมั่นคงแก่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคยุโรป อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นับตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
บ้างก็รีบตบเท้าเข้าร่วมเป็นภาคีชาติสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต เพื่อหวังความร่วมมือของเหล่าชาติสมาชิกในการป้องกันการรุกรานจากรัสเซีย อย่างฟินแลนด์ และสวีเดน ที่เข้าร่วมเป็นภาคีของนาโต เมื่อ 2 ปีก่อน
บ้างก็เพิ่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหม เพื่อพัฒนากองทัพ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งในที่นี้ก็มุ่งเน้น พุ่งเป้าไปที่รัสเซีย ประเทศคู่ปรปักษ์ มาตั้งแต่ช่วงยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา เป็นประการสำคัญ
อย่างกรณี “อังกฤษ” อดีตมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก ที่เคยได้รับการกล่าวขานขนานนามว่า เป็นดินแดนที่มีพระอาทิตย์ไม่ตกดิน เพราะมีอาณานิคมจำนวนมากแทบจะทั่วภูมิภาคโลก นั่นเอง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน แม้ความเป็นมหาอำนาจของอังกฤษ ลดน้อยถอยลงไป ไม่เหมือนเฉกเช่นแต่เก่าก่อน แต่ทว่า ศักยภาพทางกองทัพ ก็ยังคงน่าเกรงขามไม่บันเบา
ล่าสุด เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนายจอห์น ฮีลีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษ ได้ออกมาเปิดเผยแผนพัฒนาทางการทหารในมิติต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับมือกับการเผชิญหน้าต่อรัสเซียแบบโดยตรงกันเลยทีเดียว
แน่นอนว่า เมื่อจะพัฒนากันขนาดนี้ ก็ต้องใช้เงิน ใช้งบประมาณ จำนวนมหาศาล โดยอาจจะใช้ไม่น้อยกว่า 15,000ล้านปอนด์ หรือ 20,000ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ไม่ต่ำกว่า 327,000 ล้านบาท
โดยแผนพัฒนาทางการทหารของอังกฤษ ก็มีชื่อว่า “การทบทวนการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Defense Review) ซึ่งแผนดังกล่าว ก็จะเป็นการเสริมสร้าง และพัฒนาทางการทหารของอังกฤษในด้านต่างๆ ได้แก่
การสร้างโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งใหม่ จำนวน 6 แห่ง ใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งงบประมาณการก่อสร้าง ก็ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านปอนด์ หรือ 2,000ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็กว่า 32,700 ล้านบาท
โรงงานข้างต้นที่จะก่อสร้างขึ้นมา ก็จะผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องกระสุนปืนสารพัดชนิด ป้อนให้แก่กองทัพ สำหรับ เป็นเขี้ยวเล็บให้แก่กำลังพลในการต่อกรกับอริราชศัตรู ซึ่งในที่นี้มุ่งไปที่รัสเซีย เป็นชาติคู่ปรปักษ์ที่จะเผชิญหน้ากันในอนาคตเป็นประการสำคัญ
และจากกรณีที่อังกฤษ มีแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งใหม่ถึง 6 แห่ง ไปจนตลอด 5 ปีข้างหน้านับจากนี้ ก็มีรายงานว่า บรรดาประเทศต่างๆ ของมหาอำนาจชาติตะวันตก รวมถึงอังกฤษเอง กำลังวิตกกังวลต่อปริมาณคงคลังสรรพาวุธของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ปรากฏว่า แต่ละประเทศมีจำนวนต่ำ ถึงต่ำมาก เพราะมีเหตุปัจจัยมาจากการที่ประเทศเหล่านี้ ได้ส่งอาวุธไปช่วยเหลือยูเครนรบกับรัสเซีย ตลอดช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ของสงครามรัสเซีย-ยูเครน นั่นเอง
นอกจากการก่อสร้างโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ แล้ว ตามแผนทบทวนการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าว ก็ยังจะมีการก่อสร้างและพัฒนาอาวุธพิสัยทำการระยะไกลอีกด้วย เช่น ขีปนาวุธที่สามารถติดหัวรบอาวุธนิวเคลียร์ได้ เพื่อให้ขีปนาวุธที่ได้รับการก่อสร้างและพัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ สามารถมีพิสัยทำการได้ระยะไกล และมีอานุภาพทำลายล้างร้ายแรงกว่ารุ่นก่อนๆ ซึ่งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี “เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์” ก็เตรียมทุ่มงบประมาณ เพื่อก่อสร้างและพัฒนาด้านนี้ไว้ถึง 6,000ล้านปอนด์ หรือราวกว่า 8,108ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยก็กว่า 265,287 ล้านบาท
ทั้งนี้ เหล่านักวิเคราะห์ทางการทหาร ก็แสดงทรรศนะว่า การศึกสงครามนับจากนี้ต่อไป ก็จะเป็นการประชัน หรือการดวล ด้วยบรรดาสารพัดอาวุธที่มีพิสัยทำการระยะไกลชนิดต่างๆ เช่น ขีปนาวุธพิสัยทำการยิงข้ามทวีป ตลอดจนอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ที่มีพิสัยทำการระยะการบินที่ไกลๆ ได้ นอกจากนี้ อานุภาพของขีปนาวุธ ก็ต้องมีประสิทธิภาพทำลายล้างสูง หรือต้องติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ย่อยยับไป ในพริบตา เป็นต้น
โดยขีปนาวุธพิสัยทำการระยะไกลของกองทัพอังกฤษ อันเลื่องชื่อ ก็คือ “ขีปนาวุธ สตอร์ม ชาโดว์ (Storm shadow missile)” หรือที่หลายคนเรียกมันว่า “พายุเงามรณะ” หรือ “พายุเงาปีศาจ” ซึ่งเป็นเขี้ยวเล็บด้านขีปนาวุธที่สำคัญของกองทัพอังกฤษ และอังกฤษก็ได้พัฒนาขีปนาวุธสตอร์มชาโดว์ไว้หลายรูปแบบ
ดังนั้น การทบทวนการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของอังกฤษ จึงบรรจุแผนพัฒนาทางการทหารของประเทศด้านนี้เอาไว้ด้วย
นอกจากนี้ ในการทบทวนการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ ก็ยังมีแผนพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย รวมไปจนถึงการก่อสร้างและพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ให้มีศักยภาพ ประสิทธิภาพ ต่อกรกับเรือดำน้ำของกองทัพเรือรัสเซีย หากเกิดยุทธนาวี คือ การสู้รบทางน้ำ และใต้น้ำ กันขึ้น
ทั้งนี้ มีรายงานว่า รัฐบาลอังกฤษมีแผนการสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำใหม่เพิ่มขึ้นอีกถึง 12 ลำ โดยเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่อังกฤษจะต่อขึ้นใหม่นี้ ก็จะมุ่งไปที่การก่อสร้างและพัฒนาให้เรือดำน้ำดังกล่าว เป็นเรือดำน้ำที่ใช้ในการโจมตี หรือเรือดำน้ำพิฆาต เป็นหลักใหญ่ ซึ่งการก่อสร้างและพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ข้างต้น ก็ยังถือเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจขับเคลื่อนการร่วมมือกลุ่มออคัส ที่อังกฤษ มีพันธกิจผูกพันกับอีก 2 ชาติสมาชิกภาคีอีกด้วย นั่นคือ สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
ใช่แต่เท่านั้น รัฐบาลอังกฤษ ก็ยังจะเสริมสร้างสมรรถนะด้านไซเบอร์ของตนเอง ให้มีความแข็งแกร่งปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ของประเทศคู่ปรปักษ์ ซึ่งทางอังกฤษ ได้เพิ่มจีน ไปอีกหนึ่งประเทศ นอกเหนือจากรัสเซีย สำหรับ สงครามทางไซเบอร์ โดยสมรภูมิด้านไซเบอร์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งของสนามรบที่มิอาจมองข้ามได้