เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.68 ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ และอาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความ และกฎหมายพยานหลักฐาน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อกัมพูชาจะฟ้องไทยต่อศาลโลก ว่า
รัฐบาลกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ว่า ประเทศกัมพูชาจะนำข้อพิพาทเรื่องพรมแดนช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice :ICJ) หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “ศาลโลก” และเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ว่า ประเทศไทยได้ประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 แล้ว จึงมีประเด็นที่ควรพิจารณาว่า ถ้าประเทศกัมพูชาจะนำกรณีพิพาทเรื่องพรมแดนดังกล่าวขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก จะสามารถทำได้หรือไม่ และประเทศไทยจะต้องดำเนินการต่อกรณีนี้อย่างไร
ในกรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างรัฐเกิดขึ้น ตามธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ค.ศ.1945 (Statute of the International Court of Justice 1945) มาตรา 36 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกว่า “ศาลโลก” ตามที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกัน จะมีอำนาจพิจารณาคดีข้อพิพาทนั้น ก็ต่อเมื่อรัฐซึ่งเป็นคู่ความในคดีทั้งสองฝ่ายให้ความยินยอมด้วยการแสดงเจตนายอมรับเขตอำนาจของศาลโลก ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชาทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงได้ออกแถลงการณ์ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ประเทศกัมพูชาหวังว่าประเทศไทยจะให้ความร่วมมือในการเสนอกรณีพิพาทเรื่องพรมแดนไปยังศาลโลกร่วมกัน โดยคำนึงถึงความยุติธรรม การสร้างความไว้วางใจ มิตรภาพระยะยาว และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาย่อมตระหนักได้อย่างชัดแจ้งว่า ประเทศไทยซึ่งประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก ต้องไม่ให้ความยินยอมในการนำข้อพิพาทเรื่องพรมแดนดังกล่าวขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกอย่างแน่นอน รัฐบาลกัมพูชาจึงได้มีแถลงการณ์อีกตอนหนึ่งว่า
“หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประเทศไทย ประเทศกัมพูชาพร้อมที่จะดำเนินการอย่างอิสระ” ข้อความในแถลงการณ์ตอนนี้รัฐบาลกัมพูชาต้องการจะประกาศให้รัฐบาลไทยทราบว่า ประเทศกัมพูชาจะเสนอคดีข้อพิพาทเรื่องพรมแดนต่อศาลโลกไปเพียงลำพัง แม้ไม่ได้รับความยินยอมจากประเทศไทย ซึ่งตามธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประเทศกัมพูชาสามารถดำเนินการในการเสนอคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกได้ แม้ไม่ได้รับความยินยอมจากประเทศไทย ด้วยการยื่นคำขอเริ่มกระบวนพิจารณาคดี (application instituting proceeding) ไปเพียงฝ่ายเดียวต่อศาลโลก โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากประเทศไทยก่อน
แต่ประเทศไทยซึ่งประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกมาเป็นเวลานานแล้ว ย่อมมีสิทธิปฏิเสธอำนาจของศาลโลกในการพิจารณาคดี และขอให้ศาลโลกพิจารณายกฟ้องประเทศกัมพูชาได้ อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นยื่นคำขอตัดฟ้อง (preliminary objection) ด้วยการต่อสู้ว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวที่ประเทศกัมพูชาเป็นโจทก์ฟ้องคดี
ดังนั้น เมื่อได้ทราบหลักเกณฑ์และกระบวนพิจารณาคดีของศาลโลกดังกล่าวไปแล้ว หากประเทศกัมพูชาจะฟ้องประเทศไทยต่อศาลโลกกรณีพิพาทเรื่องพรมแดนดังกล่าว ประชาชนคนไทยก็ไม่ควรจะต้องตื่นตระหนกตกใจ หรือวิตกกังวลกันแต่อย่างใด