พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์  ผู้บัญชาการทหารเรือ ออกคำสั่งกองทัพเรือ (เฉพาะ)๔๔๓/๒๕๖๘เรื่อง ควบคุมการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา

ตามที่ปรากฏว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขึ้นตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยพลเรือนและกำลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชา ได้รุกล้ำแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ข้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และแสดงท่าทีที่พยายามให้เกิดความเข้าใจว่าพื้นที่ที่ตนรุกล้ำเข้ามานั้น เป็นอธิบไตยของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงเคารพธงชาติ การติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่ ทั้งที่ชัดเจนว่าดินแดนที่รุกล้ำเข้ามานั้นเป็นอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ 

ซึ่งกองทัพบกได้สั่งการให้กำลังพลเข้าระงับเหตุโดยการเจรจาชี้แจงเหตุผลให้ทราบและผลักดันให้บุคคลดังกล่าวออกไปเสียให้พ้นจากราชอาณาจักรไทย ตามหลักสันติวิธี และด้วยความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยของฝ่ายตรงข้าม 

แต่พลเรือนและกำลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชายังคงพยายามที่จะรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และแสดงท่าที่ยั่วยุ โดยไม่หยุดยั้งและอย่างเปิดเผยทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และกระทบ
ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน จนกระทั่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่กองทัพบก
ต้องใช้มาตรการเข้มข้นในการผลักดันผู้รุกรานให้พ้นไปเสียจากราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะที่บริเวณช่องบก
อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ผลประโยชน์ของชาติ และบูรณภาพ
แห่งดินแดนที่ไม่อาจยอมรับได้ แม้รัฐบาลไทยและกองทัพบกจะได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดในการระงับ
ยับยั้งความตึงเครียดตามแนวชายแดน โดยใช้กลไกที่มีการตกลงกันไว้กับกัมพูชา แต่ความพยายามดังกล่าว
กลับไม่ได้รับการตอบสนองในเชิงบวกจากฝ่ายกัมพูชา 

ทั้งยังปรากฏด้วยว่ากัมพูชาได้เสริมกำลังพลและอาวุธ
ยุทโธปกรณ์เข้ามาประชิดตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการจัดทำที่มั่นสำหรับ
วางกำลังทางทหารอันแสดงให้เห็นถึงความไม่ร่วมมือกับประเทศไทยที่มุ่งหมายจะระงับความตึงเครียดดังกดังกล่าวโดยสันติ และเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๑๕๑๗' (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia, 24 February 1976)
อันเป็นหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของทุกประเทศในอาเซียน

 อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชายังคง
มีท่าทียั่วยุให้เกิดความตึงเครียด และการเสริมกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์แสดงให้เห็นความตั้งใจ
อย่างชัดเจนที่จะใช้กำลัง เช่นนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจยอมรับได้และเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่ออธิบไตย
ความมั่นคงของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย ตลอดจนกระทบต่อความเป็นอยู่โดยปกติสุข
ของพี่น้องชาวไทยและกัมพูชาที่อยู่อาศัยร่วมกันอย่างสันติตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา มาช้านาน
อย่างไรก็ดีประเทศไทยยังคงยึดมั่นหลักการอยู่ด้วยกันอย่างสันติ และแสวงหาหนทางระงับ
ยับยั้งความตึงเครียดด้วยการเจรจากันด้วยเหตุผล ภายใต้หลักการที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทย และกัมพูชาไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากความตึงเครียดนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น สภาความมั่นคง แห่งชาติ จึงได้จัดการประชุมเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๘ และมอบหมายให้กองทัพบกและกองทัพเรือ

ดำเนินการควบคุมการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนทุกประมาทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ พร้อมทั้งมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการที่กองทัพบกและกองทัพเรือกำหนดโดยเคร่งครัดเพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามที่ได้รับมอบหมายจากสภาความมั่นคงแห่งชาติดังกล่าว
กองทัพเรือจึงกำหนดมาตรการควบคุมการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา
ขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
ให้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี
และตราด มีอำนาจกำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสม
ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในส่วนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ
โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว

 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย และการรักษา
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ให้มีอำนาจกำหนดให้เปิดหรือปิดปิดจุดผ่านแดนแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือทุกแห่งตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ ตามที่เหมาะสมก็ได้
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป

พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ
ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ออกคำสั่งกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
เรื่อง ควบคุมการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา จากการประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๘ มอบหมายให้กองทัพบก
เป็นหน่วยหลัก ในการดำเนินการควบคุมการเปิด - ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดน
ไทย - กัมพูชา เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ พร้อมทั้งมีคำสั่ง
ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดโดยเคร่งครัด 

ซึ่งกองทัพเรือมีคำสั่งให้
กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีอำนาจ
กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสมในการผ่านแดนบริเวณ
จุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในส่วนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบโดยคำนึงถึงถึง
ความจำเป็นในการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ให้มีอำนาจกำหนดให้เปิดหรือปิดจุดจุดผ่านแดนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทุกแห่งตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใดๆ ตามที่เหมาะสมก็ได้

กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ประเมินสถานการณ์ภาพรวมในพื้นที่รับผิดชอบแล้ว เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย รักษาอธิปไตยของชาติ และเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการ
เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ซึ่งต้องอาศัยความพร้อมด้านการปฏิบัติการควบคุมพื้นที่ และการบริหารจัดการทรัพยากรในช่วงเวลาสำคัญและคำนึงถึงความจำเป็นในการ
ค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว 

อย่างไรก็ดีกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ยังคงยึดมั่นในแนวคิดอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ภายใต้หลักการที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยและกัมพูชาไม่ให้กระทบต่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตประจำวัน 

ดังนั้นเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคำสั่งกองทัพเรือ จึงให้หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีและหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ควบคุมการสัญจร
ข้ามแดนของนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการตลอดจนแรงงานในพื้นที่ ผ่านจุดผ่านแดนถาวรทุกแห่ง
ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดจากเดิม "เวลา ๐๖๐๐ - ๒๖๐" เป็น "เวลา ๐๘๐๐ - ๑๖๐๐" ของทุกวัน
และผ่านจุดผ่อนปรนการค้าทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด จากเดิม "เวลา ๐๖๐๐ - ๑๘๐๐"
เป็น "เวลา ๑๘๐๐ - ๑๖๐๐" ของทุกวัน โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการทำมาค้าขาขายและความเป็นอยู่ของประชาชนรวมถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของทั้งสองประเทศและให้หน่วยกำหนดมาตรการเพิ่มเติม
ที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป