วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะ โดยแต่ละปีไทยผลิตขยะมากกว่า 27 ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นขยะพลาสติกจากวิถีชีวิตและวิถีการบริโภคของประชาชนที่เน้นความสะดวกสบาย ส่งผลให้มีการบริโภคสินค้าที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม เป็นต้นทางของการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามมา เช่น มลพิษทางอากาศจากการลุกไหม้ของบ่อขยะ การเกิดก๊าซมีเทนจากกองขยะที่ไม่ได้ฝังกลบอย่างถูกวิธี รวมถึงการทิ้งขยะพลาสติกลงในแม่น้ำและทะเล ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการดำเนินภารกิจผลิตไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้สังคมรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และดูแลสิ่งแวดล้อม โดยจัดงานวันสิ่งแวดล้อม กฟผ. ประจำปีมาอย่างต่อเนื่องทุกปี
สำหรับปีนี้ นางรัดเกล้า พันธุ์อร่าม ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อมโครงการ กฟผ. เป็นประธานเปิดงานวันสิ่งแวดล้อม กฟผ. ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Ending Plastic Pollution” เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องการลดการเกิดขยะ การเลือกใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถใช้ซ้ำ รีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การคัดแยกขยะตั้งแต่จุดกำเนิดเพื่อให้เหลือขยะที่ต้องกำจัดน้อยที่สุด รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับขยะพลาสติก มุ่งสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีของสังคมไทย ระหว่างวันที่ 5-30 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี
ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เรื่องขยะ สถานการณ์ขยะทั่วไปมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นประมาณ 74,529 ตัน/วัน คิดเป็น 1.15 กิโลกรัม/คน/วัน ปัญหาหลักเกิดจาก “ไม่คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง” และยังไม่มีกฎหมายบังคับให้คัดแยกขยะ ขยะเศษอาหารและพลาสติกไม่ถูกแยกก่อนนำไปจำกัด รวมถึงมีสถานที่กำจัดขยะเพียง 5.5% ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงนิทรรศการสถานการณ์ขยะพลาสติก ที่สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ล้านตันของปริมาณขยะทั้งหมด พลาสติกส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวถูกทิ้งเป็นขยะมูลฝอย ก่อให้เกิดปัญหาจากขยะพลาสติก ส่งผลกระทบต่อระบบนิเทศทั่วโลก สาเหตุมาจากการทิ้งขยะไม่เป็นที่และกำจัดพลาสติกไม่ถูกวิธี ก่อให้เกิดไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ห้ามพลาดกับนิทรรศการ กฟผ.ก้าวสู่ Zero Waste to Landfill ผ่านการประยุกต์ ใช้หลักลำดับขั้นการจัดการของเสียในทุกส่วนขององค์กร มุ่งเน้นการลดการสร้างขยะตั้งแต่ต้นทางและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดย ป้องกันและลดการเกิดของเสีย เริ่มจากแยกของเสียเพื่อนำของเสียกลับไปใช้ประโยชน์ได้ รียูสใช้ซ้ำจนกว่าจะหมดอายุการใช้งาน รีไซเคิล แปรรูปของเสียให้เป็นวัตถุดิบใหม่ เปลี่ยนเป็นพลังงาน ทดแทนการใช้ฟอสซิล เผา/ฝังกลบ ทำลายในเตาเผา ทิ้งในบ่อฝังกลบ ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา (2561-2567) สามารถลดขยะต้นทาง ถุงพลาสติก ตระกร้าใส่บาตร ถุงผ้า 0.3 ตัน ส่งขยะไปจัดการอย่างถูกวิธีโดยเฉพาะขยะอันตราย 1.3 ตัน นำขยะไปรีไซเคิล 51.5 ตัน และส่งขยะไปเป็นพลังงาน 122.4 ตัน ที่ผ่านมา กฟผ. ได้รณรงค์ให้ผู้ปฏิบัติงานร่วมลดและจัดการขยะในพื้นที่ กฟผ. ให้ถูกวิธีอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิด EGAT Zero Waste ลดปริมาณขยะทั่วไป เพื่อมุ่งสู่ Zero Waste Organization Sustainability
ปิดท้ายด้วยนิทรรศการโครงการนำร่องด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของ กฟผ. ทั้ง 8 โครงการที่โดดเด่น และหนึ่งในโครงการที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือโครงการนำเถ้าลอย เถ้าหนัก ยิปซัมไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นโครงการนำวัตถุพลอยได้ (เถ้าหนัก เถ้าลอย ยิปซัม) จากโรงไฟฟ้าแม่เมาะกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทดแทนการฝังกลบ โดยใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ อาทิ อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ คอนกรีตและวัสดุก่อสร้าง วัสดุทดแทนไม้ ปุ๋ยและวัสดุปรับปรุงดิน ปัจจุบัน กฟผ. มีการจำหน่ายเถ้าลอยลิกไนต์ประมาณ 800,000 – 1,000,000 เมตริกตันต่อปี สำหรับนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตคอนกรีต ซึ่งมีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่าการใช้เถ้าลอยลิกไนต์สามารถนำมาผสมทดแทนปูนซีเมนต์ได้
ส่วนยิปซัมสังเคราะห์ มีการจำหน่ายอยู่ประมาณ 400,000 – 500,000 เมตริกตันต่อปี สำหรับนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์และไฟเบอร์ซีเมนต์ รวมถึงภาคการเกษตร ขณะนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างผลักดันให้เกิดการใช้งานในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ Activated Fly Ash (Inno-Green Concrete) คอนกรีตสีเขียว ที่นำเถ้าลอยลิกไนต์มาใช้ทดแทนปูนซีเมนต์ในการผลิตคอนกรีตได้สูงสุดถึง 100% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตปูนซีเมนต์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับโครงสร้างการจัดแสดงนิทรรศการนี้ ผลิตจาก KRAFTBOARD ซึ่งเป็น ECO Responsibility & A Small Carbon Footprint สามารถหมุนเวียน รีไซเคิล และย่อยสลายได้ 100% และมีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากธุรกิจหรือบุคคล ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยความร่วมมือกับสถาบันวิจัยของสวีเดน และสมาคมของผู้ผลิตกล่องลูกฟูกและกระดาษแข็งในยุโรป ได้ทำการศึกษาครอบคลุมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดช่วงชีวิตของวัสดุ KRAFTBOARD ตามผลการศึกษาพบว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉลีย 326 กิโลกรัมต่อการผลิต KRAFTBOARD 1 ตัน ซึ่งนับเป็นผลของความพยายามในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตในยุโรปหากเทียบกับอะลูมิเนียมหรือพลาสติก จะพบว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่านี้ 4-6 เท่า
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “Ending Plastic Talk” โดยก้อง-ชณัฐ วุฒิวิกัยการ คอนเทนต์ครีเอเตอร์สายสิ่งแวดล้อม เจ้าของช่อง KongGreenGreen ร่วมแชร์ประสบการณ์ ถึงปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมถึงสถานการณ์ขยะในปัจจุบัน ตอกย้ำการคัดแยกขยะให้ถูกวิธีตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง จนไปถึงปลายทาง เพื่อลดปริมาณขยะให้กับสังคมไทยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2568 (หยุดทุกวันจันทร์) และร่วมกิจกรรม Workshop สร้างสรรค์ศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ได้ทุกวันเสาร์ตลอดการจัดงาน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. โดยสามารถลงทะเบียนหน้างาน 1 ท่านต่อสิทธิ์ รวม 30 สิทธิ์ต่อวัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2436 8953