ลมการเมืองจะแปรเปลี่ยนทิศหรือไม่ โปรดจับตารอลุ้นความเคลื่อนไหวทางการเมืองในเช้าของวันที่ 13 มิถุนายน 68 นี้

คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปปรากฎตัวตามนัดพร้อมไต่สวนกรณีเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ตามที่ศาลฏีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดหมายหรือไม่

อย่าลืมว่าคดีนี้ ศาลฎีกาฯ เป็นผู้ขอไต่สวนเอง ตามความที่ปรากฏต่อศาลแล้ว แม้ศาลได้เคยมีมติไม่คำร้องจาก “ชาญชัย  อิสระเสนารักษ์”  อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ มาแล้วเพราะเหตุที่ ชาญชัยไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้โดยตรงก็ตาม

นับวันเวลากว่าจะไปถึงวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายนนี้ จากนี้เหลืออีกไม่นาน ความชัดเจนในทิศทาง ของการเมืองจะคลี่ออกมาว่า แท้จริงแล้ว “ใคร” คือฝ่ายได้เปรียบ และ “ใคร” ก็ฝ่ายที่ถือ “อำนาจต่อรอง” เหนือกว่าอีกฝ่าย

กูรูการเมืองหลายสำนัก ทั้งฝ่ายต่อต้านหรือแม้กระทั่ง “กองเชียร์” อดีตนายกฯทักษิณ ต่างยอมรับว่าการพิจารณาไต่สวนกรณีการรับโทษของทักษิณ โดยศาลฎีกาฯในวันนั้น อาจกลายเป็นการ “นับหนึ่ง” จำนวนวันที่ทักษิณต้องกลับไปเข้าเรือนจำกันใหม่

สำหรับกรณีดังกล่าวต้องย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 วันที่ทักษิณ ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัว หลังจากที่หนีออกนอกประเทศไปยาวนานถึง 17 ปี ในวันเดียวกันนั้นเมื่อเครื่องบินแลนด์ดิ้งที่สนามบินดอนเมือง ทักษิณได้ถูกนำตัวไปยัง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 8 ปี

ต่อมาทักษิณได้ขอพระราชทานอภัยลดโทษ โดยได้รับพระราชทานลดโทษเหลือติดคุก 1 ปี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จงรักภักดี และมีอาการป่วย ยอมรับการกระทำผิดและสำนึกในความผิด

แต่ปรากฏว่า ทางกรมราชทัณฑ์ได้ส่งตัวทักษิณ ออกไปรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กลางดึกของวันที่ 22 ส.ค.66 โดยให้เหตุผลว่าป่วยด้วยหลายโรค และอยู่ในกลุ่มเปราะบาง ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด จากเหตุการณ์ในวันนั้น จึงไม่อาจตีความเป็นอื่นในสายตาของสาธารณชนว่า ทักษิณ ติดคุกจริงๆวันไหน ?

อย่างไรก็ดี แม้ทักษิณจะได้ไฟเขียวให้ “กลับบ้าน” ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของ “ดีลลับ” และดูเหมือนว่า เขาเองได้รับสิทธิพิเศษ จากกระบวนยุติธรรมที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกตั้งคำถามเรื่อยมา  ทว่าลึกๆแล้ว ทุกความเป็นไปของทักษิณ และพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ ตัว “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี  ที่ได้อำนาจมาอย่างง่ายดายนั้น ล้วนมี “เงื่อนไข” ที่ถูกบงการ ถูกควบคุมโดย สิ่งที่หลายคนเรียกว่า “รัฐพันลึก”  คืออำนาจที่อยู่เหนือทักษิณ ซึ่งสามารถ “ช่วยเหลือ”  หรือ “สั่งการ” ได้ทั้งสิ้น

โดยมีเครื่องยืนยันคือปรากฏการณ์ ตั้งรัฐบาลภาคพิสดาร ให้ พรรเคเพื่อไทย ข้ามขั้วมาจับมือกับ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ล้วนเคยอยู่กับ “พรรค 2ลุง”  รวมถึงการเปิดทางให้แพทองธาร เข้ามาเป็นนายกฯคนที่ 31 ได้ง่ายดายจนผิดปกติ หรือแม้แต่การมีใบสั่ง ให้ “สว.” ต้องยืนอยู่ข้างใด ระหว่าง “เศรษฐา ทวีสิน” หรือ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล

เมื่อรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทย บริหารประเทศมาได้กว่า 2 ปี และเหลือเวลาอีก 2 ปีที่ยังเหลืออยู่หากสามารถ “ดึงดัน” จนครบเทอม แล้วไปเลือกตั้งกันในปี 2570 ได้จริง แต่กลับกลายเป็นว่า 2ปีที่ผ่านมา ยิ่งเห็นได้ว่า ทั้ง ทักษิณ พรรคเพื่อไทย และนายกฯแพทองธาร ตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก คะแนนนิยมหดหาย กลายเป็นรัฐบาลที่ผู้คนต่างไม่เชื่อมั่น แม้วันนี้จะเดินไปไม่ถึง “รัฐล้มเหลว” ทว่า “รัฐบาล” ก็แทบยืนไม่อยู่

จากที่พรรคเพื่อไทยเคยคาดหวัง และฝากชัยชนะทางการเมืองเอาไว้ที่ “นายใหญ่” คือทักษิณ แต่ “หน้างาน” ที่เกิดขึ้นจริงคือวันนี้พรรคเพื่อไทย และนายกฯแพทองธาร ยังไม่พร้อมที่จะลงสนามเลือกตั้ง มิหนำซ้ำ “คู่แข่ง” อย่าง “พรรคสีส้ม” ยิ่งกล้าแข็ง ทำคะแนนแซงหน้าไปทุกวี่วัน

ขณะเดียวกัน การดำรงอยู่ของรัฐบาลผสม ในโลกยุคใหม่ที่บริบทการต่อสู้ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง การเมืองไทยวันนี้อาจไม่ใช่พื้นที่ให้พรรคเพื่อไทย ได้เติบโตเหมือนเมื่อครั้งพรรคไทยรักไทยอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ สัญญาณจากทักษิณ จึงยังไม่ใช่ “คำตอบสุดท้าย” อย่างแท้จริง เพราะไม่เช่นนั้น พรรคเพื่อไทยคงเลือกวิธี “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” เขี่ย “พรรคภูมิใจไทย” 70 เสียงออกไปพ้นรัฐบาลได้แล้ว           

แต่กลับกลายเป็นว่า วันนี้การปรับครม.ที่เป็นเกมบังคับ ของพรรคเพื่อไทย ยังขู่พรรคอันดับสองอย่างภูมิใจไทย ไม่สะเด็ดน้ำ จนต้องมีการปล่อยข่าวว่าอาจจะดึง “พรรคประชาชน” เข้าร่วมรัฐบาล ถ้าพรรคภูมิใจไทยยังไม่ยอมให้ “กระทรวงมหาดไทย” ตามต้องการ ขณะที่พรรคสีน้ำเงิน เปิดเกมสวนคืนด้วยการไม่ปิดประตูว่าสามารถจับมือกับพรรคไหนก็ได้

ทว่างานนี้พรรคประชาชน ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทย ดังนั้น “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรค ออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจน ว่าไม่ร่วมรัฐบาลกับใครทั้งนั้นในสมัยนี้

ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจว่าพรรคภูมิใจไทยที่กำลังถูกพรรคเพื่อไทย ไล่ต้อน ทั้งการประกาศเอากระทรวงมหาดไทย มาไว้ในมือ ควบคู่กับการเปิดปฏิบัติการ “สลายสว.สีน้ำเงิน” ด้วยคดีฮั้วเลือกสว. แถมยังเลยเถิดไปถึงเรื่องการร้องยุบพรรคภูมิใจไทยตามมา โดย “นักร้องมืออาชีพ”  ก็ตาม

แต่อย่าลืมว่า ชะตากรรมของทักษิณ ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย เหนือรัฐบาล กำลังจะติดบ่วงคดีชั้น 14  ซึ่งหากการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ออกมาเป็น “ลบ” จริง เท่ากับว่า พรรคภูมิใจไทยแทบไม่ต้อง “ออกแรง” สู้รบกับพรรคเพื่อไทย เมื่อหัวขบวน ถูกเด็ดปีกไปแล้ว

แต่ก่อนจะถึงวันที่ 13 มิถุนายน ยังต้องรอจับตาท่าทีจาก “แพทยสภา” ในวันที่ 12 มิถุนายน ก่อนว่าจะรวบรวมเสียงได้ถึง 2 ใน 3 เพื่อยืนยันมติเดิมของแพทยสภา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 68 ที่ผ่านมา ซึ่งสั่งให้ลงโทษ แพทย์3รายที่กี่ยวข้องกับการส่งตัวทักษิณ ออกไปรักษาที่ชั้น 14

เพราะมติแพทยสภา คือสารตั้งต้นสำคัญที่จะตอกย้ำว่าแท้จริงแล้วทักษิณ ไม่เคยป่วยเข้าขั้นวิกฤต แท้จริงแล้วทักษิณ ไม่เคยรับโทษตามจำนวนวันที่ศาลฯเคยสั่งด้วยซ้ำ

ความเชื่อมโยงจากวันที่ 12 มิถุนายน จะกลายเป็น “ชนวน” ที่รอการชี้ชะตา จากศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิถุนายน ตามมาในวันรุ่งขึ้น ซึ่งหากผลออกมาทางที่ไม่เป็นคุณ เท่ากับว่าทักษิณ จะต้องกลับเข้าเรือนจำไปรับโทษ เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ ชาญชัย อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เคยประกาศว่าจะพาเขากลับเข้าเรือนจำ

สถานการณ์ที่มีความล่อแหลมเช่นนี้ จึงยังบอกได้ยากว่า ทักษิณ จะเดินทางไปศาลฎีกาฯด้วยตนเองหรือไม่ เพราะล่าสุดเจ้าตัวยังบอกกับสื่อว่าขอปรึกษาทนายความส่วนตัวก่อน

คนที่รู้จักทักษิณ มักบอกว่าคนอย่างเขาจะไม่เลือกเล่นในสนามที่รู้ว่าความพ่ายแพ้รออยู่เบื้องหน้า เหมือนกับที่เขาเองต้องมั่นใจในความปลอดภัยและอำนาจทางการเมืองมากพอ จึงกล้าเดินทางกลับบ้านเกิดในรอบ 17ปี แต่ครั้งนี้ ย่อมไม่เหมือนเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เพราะหากพลาดพลั้ง ย่อมไม่ใช่แค่เขาต้องกลับเข้าเรือนจำ แต่เมื่อชีวิตของคนชื่อทักษิณ ยังยึดโยงกับการดำรงอยู่ของพรรคเพื่อไทย และยังร้อยเอาไว้ด้วย “ตระกูลชินวัตร” หากต้องพลาดพลั้งครั้งนี้ อาจไม่ใช่การพ่ายแพ้เหมือนเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ที่ยังได้โอกาสกลับมาทำ “ภารกิจ” บางอย่าง แต่เมื่อภารกิจไม่ลุล่วง “รัฐพันลึก” ไม่เลือกใช้บริการเขาอีกต่อไป ทั้งเพื่อไทย  ทั้งครอบครัวชินวัตร คงมีอันต้อง “ปิดฉาก”  !