หมายเหตุ : “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” สะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในประเทศที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายรอบด้าน ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของรัฐบาล ถือว่ามีความสำคัญในการเมือง รายการออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568
-อยากให้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทย ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยังมีความหวัง มีอะไรบ้าง และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
ก่อนอื่นต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลก่อนว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมาระยะหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าในเวลานี้เราอาจจะมีปัจจัยในเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ทำให้เราต้องกังวลและมีความท้าทายใหม่ๆขึ้นมา แต่โดยข้อเท็จจริง หากเราดูเรื่องอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ย้อนกลับไปเกือบ10ปี จะเห็นได้ว่าเราเติบโตในอัตราที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เราเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศต่างๆในอาเซียน และเราเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกว่าไทยมีศักยภาพมากกว่านี้
ดังนั้นปัญหาเศรษฐกิจ จึงรอการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างมากกว่า เพราะเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อเรื้อรังพอสมควร การที่เราอาจจะปรับตัวน้อยเกินไปต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ ที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะการที่ไทยกลายเป็นสังคมสูงวัย หรือเรื่องของโครงสร้างภายในประเทศเราที่กลายเป็นเรื่องของการผูกขาด และมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้มันยากอยู่แล้ว และสะท้อนออกมา จากปัญหาตัวเลขหนี้สาธารณะ การเติบโตที่ต่ำ พอมาเจอกับปัญหาโควิด-19 จึงทำให้รัฐบาล ต้องใช้จ่ายขาดดุลมากขึ้น ก็กลับมาเป็นปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะ พื้นที่ของนโยบายการคลังอีก
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คงไม่ได้มาเริ่มต้นกันที่รัฐบาลชุดนี้ แต่ขณะเดียวกัน เราก็เห็นว่าผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 2 ปี การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างหรือนโยบาย แตะในเชิงโครงสร้างเหล่านี้เรายังไม่ค่อยได้ยิน เรายังวนเวียนอยู่กับโครงการ ตั้งแต่แลนด์บริจด์ หรือเอ็นเตอร์เทนเรายังมีความคาดหวังว่าในที่สุด เราจะสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆเป็นฐานการผลิตสินค้าใหม่ๆ เราก็หวังว่าการท่องเที่ยว ที่เรามีสิ่งที่สร้างสรรค์ ตามที่รัฐบาลเรียกว่าซอฟต์ พาวเวอร์ ที่จะดึงคนกลับมา แต่ผมเชื่อว่าตราบใดที่เรายังไม่ได้เข้าไปแก้ในเชิงโครงสร้าง ซึ่งติดปัญหาในเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ การวิจัยและการพัฒนาคน คงเป็นเรื่องยากที่เราจะฟื้นตัวขึ้นมาจากภาวะที่เราติดหล่มมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว
พอมาเจอเรื่องของทรัมป์ โดยความจริงแล้วผมเคยหวังว่าจะกลายเป็นการสร้างให้รัฐบาลระดมทั้งความคิด ทั้งความปรารถนาดีของคนในชาติ ที่จะมาผนึกกำลังกันเพื่อไปสู่การพูดถึงเรื่องโครงสร้างหรือเรื่องยากๆที่ต้องทำ แต่ดูไปแล้ว รัฐบาล ก็ยังไปเน้นเรื่องการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพียงแต่พยายามให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าไม่ได้ละเลยเรื่องของการเตรียมเจรจากับสหรัฐฯ
-ประชาชนทั่วไปต้องปรับตัวอย่างไร ทุกวันนี้ยังมีความหวังกับรัฐบาลว่าจะแก้ปัญหาให้ได้มากน้อยแค่ไหน
นอกจากเรื่องโครงสร้างของเราเองแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ไม่เพียงแต่ด้านสหรัฐฯ แต่สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทย จากการกีดกันในประเทศตะวันตก ทำให้จีนต้องหาตลาดที่จะมาระบายสินค้าราคาถูก รวมทั้งปัญหาภายในทางเศรษฐกิจของจีนเอง ที่อาจจะมีการผลิตเกินความต้องการของตลาดภายใน ตัวนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แล้วมาพร้อมกับบรรดาแพลตฟอร์ม เทคโนโลยี ที่เอื้ออำนวยให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาได้ในปริมาณ มาก ๆราคาถูก
ซึ่งความจริงแล้ว หากรัฐบาลจะดูในเรื่องมาตรฐานสินค้า หรือดูเรื่องการทุ่มตลาด ก็น่าจะช่วยบรรเทา ปัญหาไปได้ แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนรัฐบาลเองจะกังวลว่า ถ้าทำแล้วจะไปกระทบความสัมพันธ์กับจีนหรือไม่ หรือเช่นเดียวกับการที่ทางสหรัฐฯ รัฐบาลเองก็มีท่าทีกังวลว่า จะทำอย่างไรเพื่อที่จะ ไม่ให้สหรัฐฯ ไม่พอใจเรา ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหมือนจุดอ่อนไปในตัว ในการที่จะเจรจาต่อรอง
ในแง่ด้านการต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่ตน มีความรู้สึกว่า ยังทำน้อยเกินไป ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย คือในกลุ่มอาเซียนด้วยกันเอง ที่ควรจะ ผนึกกำลัง มีจุดยืนร่วมกันว่าในท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ แต่ละประเทศจะไม่ใช้วิธีพยายามเอาตัวรอด หรืออ่อนข้อให้กับมหาอำนาจประเทศใด ประเทศหนึ่ง โดยที่มาเพิ่มความเดือดร้อนให้กับประเทศอาเซียนด้วยกันเอง
ความจริงถ้าการผนึกกำลังมีความเข้มแข็ง โดยที่อาจจะไม่ต้องเท่ากับสหภาพยุโรป แต่ให้หนักแน่นกว่านี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยได้ ส่วนประชาชนเองผมมองว่ามีความชินชากับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ระยะหนึ่ง และจะเห็นปัญหาเรื่องข้าวของแพง จากอุปทานหรือการผลิต อาจจะเป็นโควิดบ้าง หรือสงครามบ้าง แต่ตอนนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือผู้ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งต้องอยู่กับความไม่แน่นอนสูงมาก ตอนนี้ คงต้องใช้วิธีการเร่งรัดการส่งออก ก่อนที่จะเจอกำแพงภาษี หรืออุปสรรคต่างๆ ขณะเดียวกันต้องเร่งหาตลาดใหม่ ๆ แต่เชื่อว่าแม้ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีไทย ไม่ถึง 36 เปอร์เซ็นต์ ก็ตาม แต่ยังจะส่งผลกระทบ และสุดท้ายจะกระทบมาถึงประชาชนทั่วไปด้วย ดังนั้นการระมัดระวังไม่ใช้จ่ายเกินตัวก็คงมี แต่ก็ยิ่งทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจน้อยลง
ทั้งนี้เชื่อว่าในส่วนของรัฐบาลเอง ในระยะสั้นคงจะมีการเตรียมแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในลักษณะของการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลงทุนอย่างไร เพียงแต่อยากบอกว่าด้วยข้อจำกัด หรือพื้นที่ทางการคลัง ด้วยความไม่แน่นอนที่จะมีขึ้นในอนาคตนั้น การจะกระตุ้นด้วยเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งอาจต้องมีการกู้เพิ่มเติม ขยับหนี้สาธารณะเข้าไปใกล้เพดานเดิมมากขึ้น ยิ่งต้องทำในลักษณะที่เรียกว่ามีความแม่นยำ ชัดเจนมากขึ้นว่ากลุ่มเป้าหมายคืออะไร
เพราะหากทำในลักษณะที่เหมือนกับละลายไปเฉยๆ ก็จะยิ่งสร้างความกังวลหนักมากขึ้นไปอีก ดังที่เราจะเห็นว่าองค์กรที่จัดอันดับความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ได้ส่งสัญญาณเตือน ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่อยากจะเน้นย้ำว่า จริงๆอยากเห็นรัฐบาลสร้างภาวะที่คนทั้งประเทศมองเห็นร่วมกันว่าเราต้องฟันฝ่าอะไร และจะไปกันด้วยวิธีไหน และความจริงแล้วเวลานี้ควรจะลดละเรื่องต่างๆที่นำมาสู่ความไม่เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน หรือความขัดแย้ง โดยที่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เห็นว่ามีประโยชน์ชัดเจนอะไร
- จะหมายถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเป็นอยู่ด้วยหรือไม่
ในเรื่องของการเมืองนั้น เมื่อจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อทำเรื่องที่ค่อนข้างยาก และอาจจะมีความละเอียดอ่อน เรายิ่งต้องการรัฐบาลที่มีความเข้มแข็ง แต่ปัญหาที่มาบั่นทอนความเชื่อถือมากขึ้น คือสภาพการเมืองของรัฐบาลผสมที่คนข้างนอกมองดูแล้วเหมือนเป็นการต่อรองกันรายวัน
และเรื่องที่หยิบขึ้นมาต่อรอง ต่อสู้กันนั้นก็ยังพันไปถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องต่างๆที่ยิ่งทำให้ไปบั่นทอน ความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆ มากขึ้นไปอีก ฉะนั้นหากสามารถ ลด ละ สิ่งต่างๆเหล่านี้ลงได้ น่าจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่า ทั้งการสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ประการต่อมาคือการระดมกำลัง และสร้างการยอมรับในสิ่งยากๆที่จำเป็นต้องทำในการปรับโครงสร้าง
ถ้าพูดไปแล้ว ผมว่าในแง่การเมือง ถ้ามองให้ดี จะเห็นว่าพรรครัฐบาลในชุดปัจจุบัน ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 ปี ที่จะไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จุดขายที่ยังเหลืออยู่คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ถ้าดูกันอย่างถ่องแท้ ผมกลับมองว่า รัฐบาลน่าจะมาทบทวนท่าทีหลายอย่าง เพราะปัญหาความท้าทายมันชัดเจนมากว่าจะเป็นแบบไหน
-ความขัดแย้งทางการเมืองวันนี้ดูเหมือนขยายวงไปไกล ขณะเดียวกันรัฐบาลผสมอาจจะไม่ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ 2 ปี ให้เป็นโอกาสได้
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรัฐบาลนั้น ผมไม่ได้พูดเรื่องคะแนนเสียงในสภาฯ หรือจะต้องเห็นดีเห็นงามกันไปทุกเรื่อง แต่แค่เพียงการสร้างภาพที่ชัดเจน ว่าทิศทางของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ในการนำพาประเทศ เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายและปัญหารอบด้านเช่นนี้ มันคืออะไรนั้นเรายังเห็นได้น้อยมาก
เพราะการทำงานที่ผ่านมา หากจะพูดตรงๆ แต่ละพรรคก็จะดูแลเฉพาะกระทรวงของตัวเอง ต่างคนต่างทำ และหลายครั้งเมื่อต่างคน ต่างทำก็มีเรื่องที่ไปพันกับหลายกระทรวง ก็จะมีความขัดแย้งกันขึ้นมา ภาพการนำที่ชัดเจน ในเชิงทิศทางมันยังไม่มี
-สถานการณ์ทางการเมืองที่มีการต่อรอง มีความขัดแย้ง และปัญหาเรื่องเสถียรภาพ จะทำให้รัฐบาลผสมเดินต่อไปยากมากขึ้น
โอกาสที่จะมีการยุบสภา ต้องบอกว่าผมเองยังมองไม่เห็น ว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคใดที่ร่วมรัฐบาล เพราะถ้าประเมินไปแล้ว หากมีการเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ ฝ่ายค้านกลับเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นผมจึงยังไม่เชื่อว่ามีความพร้อมจะแตกหักกัน ยกเว้น 1. พรรคแกนนำเชื่อว่าถ้าแตกหักกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้วสามารถ ดึงพรรคอื่นหรือดึงสส.จำนวนหนึ่งมาสนับสนุนรัฐบาลได้ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงแต่การเปลี่ยนแปลงพรรคที่มาร่วมรัฐบาล ไม่ถึงขั้นที่จะกลับไปเลือกตั้งใหม่
มีก็เพียงบางเรื่องที่คนมองว่าเป็นความขัดแย้ง เหมือนกับว่ามันบานปลายจนควบคุมไม่อยู่หรือไม่ เพราะประเด็นต่างๆที่ถูกหยิบยกแล้วมาพันกับพรรคต่างๆ เช่นเรื่องการเลือกสว.2567 หรือกรณีคุณทักษิณ นั้นมีโอกาสบานปลายได้เหมือนกัน โดยที่ไม่ใช่ความตั้งใจมาตั้งแต่ต้นว่าจะให้มาถึงจุดนี้ เพราะหลายเรื่องเมื่อสังคม รับรู้ รับทราบก็เกิดกระแสขึ้นมาว่าเรื่องแบบนี้ควรต้องแสวงหาความถูกต้อง ความยุติธรรมจนได้
ฉะนั้นในแง่ของเจตนา ผมไม่คิดว่ารัฐบาลอยากจะแตกหักกันเร็วๆนี้ แต่คำถามก็กลับไปที่เดิมอีกว่า ถึงไม่แตกหัก ถึงอยู่กันไปจนครบเทอม แต่อยู่ในแบบที่อยู่กันมา 2 ปีก็ยังไม่ได้ปรากฏภาพของการขับเคลื่อน อะไรที่จะเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน
- ประชาชนอาจจะหาความหวังได้ยาก จากรัฐบาลในห้วง 2 ปีที่เหลืออยู่
จะไปบอกว่าไม่มีหวังเลย ก็คงไม่ได้ หากรัฐบาลหันกลับมาดูว่า เดิมพันในการเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่ที่ความสำเร็จในการบริหารเศรษฐกิจ และหากยอมที่จะฟังเสียงจากภาควิชาการ จากภาคธุรกิจเอกชนบ้าง หรือภาคประชาชน อาจจะเริ่มมีภาพที่ชัดเจนว่า จากที่เคยตั้งเอาไว้ว่าจะต้องทำ 1-2-3-4 ที่ประกาศกันอยู่ทุกวันนี้ มันอาจจะไม่ใช่ เพราะมันยังมี 1-2-3-4-5 เรื่องอื่น ที่ทำแล้วในที่สุดจะกลับมาเป็นประโยชน์ ให้กับประชาชนและประเทศมากกว่า
ส่วนฝ่ายค้านเอง ก็ยังรู้สึกว่ายังมีความได้เปรียบอยู่ในแง่ของกระแส แต่ในแง่ของการตรวจสอบนั้น เชื่อว่าสังคมก็ยังต้องการเห็นความเข้มข้นมากกว่านี้ รวมไปถึงทางออกของประเทศ ในเรื่องหลักๆโดยเฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อยู่ตรงไหน
- สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้แม้เราจะไปไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า รัฐล้มเหลว แต่ขณะเดียวกันการเมืองและรัฐบาลก็ยังมีความไม่ชัดเจน ว่าเรามีนายกฯกี่คน สิ่งเหล่านี้บั่นทอนความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน
เวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่บั่นทอน ไม่ใช่เฉพาะในแง่ของภาคการเมือง แต่ยังลุกลามไปถึงกระบวนการยุติธรรม ไปถึงองค์กรอิสระ และอื่นๆด้วย ในขณะที่ก่อนหน้านี้เคยมีการคิดที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญกันใหม่ เพื่อที่จะมาปรับปรุงระบบ ปัจจุบันก็กลายเป็นว่าไปได้ยาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสังคมมีความหวาดระแวงตลอดเวลาว่า หากทำเรื่องนี้แล้วจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายการเมือง มากกว่าส่วนรวมของประชาชนหรือไม่
สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงทำให้ความเชื่อมั่นทั้งหลายลดน้อยถอยลง จริงๆผมก็เห็นด้วยว่า เรายังไม่ได้ไปถึงจุดที่เรียกว่า รัฐล้มเหลว แต่เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆ และบางเรื่อง บางคดี บางบุคคลเท่านั้นที่ทำให้ตัวระบบไม่ทำงาน หรือไม่ยอมให้ระบบทำงาน แต่ในภาพรวมมองว่าหลายเรื่องของเราก็ยังไปได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้สถานการณ์ เหตุการณ์ เหมือนกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ความไม่เชื่อมั่นก็จะขยายตัวมากขึ้น
- อยากให้ฝากถึงรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทุกคนควรยุติความขัดแย้ง ปิดเกมการต่อรองลงโดยเร็วที่สุด
จริงๆ ไม่ได้มองว่ารัฐบาล กับฝ่ายค้านขัดแย้งกันแล้วเป็นปัญหา แต่กลับมองว่าตอนนี้มีคนอยากให้ฝ่ายค้านเข้มข้นทุกเรื่อง เพราะฝ่ายค้านในปัจจุบันเข้มข้นแค่บางเรื่อง
แต่ในส่วนรัฐบาลเอง ตอนนี้อยากให้วางเรื่องประโยชน์ของพรรคหรือการมองว่าการไปมีส่วนในการบริหารกระทรวง เป็นเหมือนอาณาจักรของตนเอง อยากให้พรรคร่วมรัฐบาลมองว่า เวลานี้รัฐบาลกำลังมีความท้าทายและหน้าที่สำคัญในการนำพาประเทศชาติ ประชาชนผ่านอุปสรรคยาก ๆ ซึ่งจะเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย และจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้เราเดินไปสู่จุดหมายให้ได้



