กัมพูชา รอวันนี้มานาน วันที่กระสุนนัดแรก ชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่นจากปากกระบอกปืน แม้ว่าจะเป็นทหารเขมร ที่ยิงก่อนก็ตาม แต่เขมรก็ยัดข้อกล่าวหาว่า ทหารไทยยิงก่อน

จากนั้นเขมรก็ทำตามแผน ที่ได้เตรียมการมานาน

1.ใส่ร้ายว่า ทหารไทย ยิงก่อน และรุกล้ำ ดินแดนเขมร

2.ขอเปิดโต๊ะเจรจา แม้จะปะทะแค่จุดเล็กๆ  แต่หวังทำให้ สเกลใหญ่

3.ขณะลากไทย ขึ้นโต๊ะเจรจา ก็เสริมกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาเป็นจำนวนมาก

4 ทำหนังสือประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวหาไทยรุกราน ล้ำดินแดน ยิงก่อน ทำทหารกัมพูชา เสียชีวิตเรียกร้องให้ฝ่ายไทยสอบสวนและลงโทษ

5.สมเด็จ ฮุนเซน  ประธานสภาฯ อดีตนายกฯ  และ พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี  2 พ่อลูก ออกปฏิบัติการตามแผน  ในการกล่าวหาไทย และเคลม ดินแดน สามเหลี่ยมมรกต-มุมไบ  เป็นของกัมพูชา และจะฟ้องศาลโลก  รวบ 4 พื้นที่ รวมทั้ง ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด –ปราสาทตาควายด้วย และออกแถลงการณ์ จะไม่คุยเรื่องนี้ ในที่ประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดน ไทย-กัมพูชา JBC 14 มิ.ย.นี้ ที่กัมพูชา เป็นเจ้าภาพ  ที่กรุงพนมเปญ

6 .เขมร ใช้ปฏิบัติการ ไอโอ ขบวนการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ใน โซเชียลมีเดีย โจมตีฝ่ายไทยเป็นผู้รุกราน และสร้างภาพกัมพูชาที่น่าสงสารและเห็นใจในสายตาชาวโลก และชาวกัมพูชา อย่างเป็นระบบ และมีการเตรียมพร้อม มาเป็นอย่างดี มีการถ่าย คลิป เป็นซีรี่ย์  ปลุกระดมชาตินิยม เพื่อสร้างคะแนนนิยม ในประเทศ ต่อตัว พลเอก ฮุน มาเนต นายกฯ

7.แผนครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของ สมเด็จ ฮุนเซน  ที่ต้องการยึดสามเหลี่ยมมรกต  ช่องบก เพราะเคยรบ ที่ช่องบก ตั้งแต่ วางแผน เผาศาลาตรีมุข และ นำกำลังทหาร มายึดพื้นที่ จนล้ำแดนไทย 150 เมตร คาดว่า เป็น แผนที่จะทำให้เส้นเขตแดนเปลี่ยน ทั้งทางบก และ ทางทะเล

8.เป็นความตั้งใจของ  พลเอก ฮุนเซน  และ พลเอก ฮุน มาเนต ที่อยากจะล้างตา แก้มือ ที่เคยนำการรบในศึกเขาพระวิหาร ปี 2554 ที่เขมร เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และเมื่อ มาเป็นนายกฯ ก็ต้องการสร้างความศรัทธา ในหมู่ประชาชน และ กองทัพ

9. กัมพูชา เล่นสองหน้า โดยระดับ ผู้นำ เจรจาดี สันติวิธี การเจรจาผ่าน JBC แต่ลับหลัง ขยิบตาให้ ทีมงาน ทำตามแผน โดยที่ คนในรัฐบาลได้คุยกับฝ่ายกัมพูชา แต่อ้างว่ามีปัญหาภายในเนื่องจากพลเอกฮุน มาเนต ไม่สามารถสั่งการได้ทุกกลุ่ม  เพื่อเป็นข้ออ้างในการเปิดทางให้กัมพูชาเล่นสองหน้ากับฝ่ายไทย

10.ระดับกองทัพ  ทหารในพื้นที่ เมื่อเกิดปัญหาใดแล้วมักจะ อ้างเสมอ ว่าผู้บังคับบัญชาไม่ได้สั่ง จึงไม่สามารถปฏิบัติตามที่ไทยประสานหรือร้องขอได้

ขณะที่กองทัพ โดย ผบ.เหล่าทัพ ลำบากใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  เพราะนโยบายต้องการสันติวิธีและเจรจาเท่านั้น แม้ต้องการใช้มาตรการกดดันทางทหารเช่นการปิดด่าน แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจประชาชน ขณะที่สังคม และประชาชนกดดัน ให้ ฝ่ายกองทัพและความมั่นคงมีความเด็ดขาด ไม่ต้องฟัง นายกฯ หรือ รมว.กลาโหม

จึงจะเห็นได้ว่าในระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะอยู่นิ่งไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวใดๆ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพลโทบุญสิน  พาดกลาง แม่ทัพภาค 2  ในการออกสื่อ  และ ให้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกทบ. ทำหน้าที่ชี้แจง ตอบโต้ แบบเบาะๆ

โดยบทบาทหลัก ยังเป็นของ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. และ แสดงออกและตอบโต้ได้ด้วยวิธีการทางทหารเช่น การสั่งหน่วยคุมกำลังระดับกองพลแสดงความพร้อมรบนำอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพล ออกมาแสดงกำลัง เช่นที่ผ่านมา

และการเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยการส่งกำลังพาหนะอาวุธยุทโธปกรณ์โดยเฉพาะปืนใหญ่และรถถังเข้าพื้นที่ชายแดนตลอดแนว

โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพ อื่น คอยให้คำปรึกษาและเตรียมแผนรองรับ ความพร้อมทั้งในส่วนของกองทัพเรือและกองทัพอากาศ อาจจำเป็นต้องรบ