เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝน แน่นอนว่าปัญหาที่จะตามมาพร้อมกับหน้าฝนคือ เรื่องของอุทกภัย น้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้ก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยได้ลงพื้นที่มอบนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ และการแจ้งเตือนสาธารณภัย

นายอนุทิน กล่าวว่า  ปีนี้กลไกกระทรวงมหาดไทยทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์และการแจ้งเตือนภัยในระดับพื้นที่ ซึ่งจากการคาดการณ์สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่สถานีวัดน้ำ C2 เมืองนครสวรรค์ (เจ้าพระยา) คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำมาก ทำให้เขื่อนเจ้าพระยามีความจำเป็นที่จะต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลให้บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำในพื้นที่ จ.อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ได้รับผลกระทบเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี

จึงเป็นที่มาของการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งการตั้งคณะทำงาน การสนับสนุนรถ Mobile War room ที่มีระบบประเมินสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศแบบ Real Time รวมถึงเว็บไซต์และ Application Thai Water สำหรับติดตามสถานการณ์น้ำที่ใช้งานได้สะดวก สามารถเข้าถึงได้ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป และในการบริหารสถานการณ์ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันขับเคลื่อนเรื่องการป้องกันภัย การแจ้งเตือนภัย การรับมือสถานการณ์ และการเยียวยา เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว

นายอนุทิน กล่าวว่า ผู้บริหารและสมาชิก อปท. ทุกท่าน มีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุกดิบของประชาชน ต้องมีข้อมูลเพื่อไปอธิบายเกี่ยวกับการเตรียมการต่างๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนอุ่นใจ และปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องแล้ว ยังให้ความร่วมมือกับทางราชการมากที่สุด

นอกจากนี้  ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหาร อปท. ต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมการป้องกันความเสี่ยงต่อชีวิตพี่น้องประชาชนที่มาจากน้ำท่วม ต้องมีแผนการอุ้ม การอพยพเพื่อต้องรักษาชีวิตประชาชน เตรียมศูนย์พักพิงให้พร้อมรองรับผู้ประสบภัยทันที สามารถเป็นทั้งที่พักปลอดภัย มีอาหาร น้ำเพียงพอ ห้องน้ำถูกสุขลักษณะ

นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ให้นโยบายแก่กระทรวงในกำกับทั้ง 4 กระทรวง คือ มหาดไทย แรงงาน ศึกษาฯ และ อว. ให้บูรณาการในการช่วยเหลือประชาชน เช่น ศึกษาฯ  ที่มีสถานศึกษาที่พร้อมรองรับการช่วยเหลือ มีนักเรียน นักศึกษาอาชีวะ ช่างกล ช่างไฟฟ้า ช่างซ่อมบ้านเข้าไปซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน ส่วนตนในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้ให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ซึ่งผู้ว่าฯ มีอำนาจในการอนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณในสถานการณ์สาธารณภัยฉุกเฉินได้ทันที

"ในส่วนของ อปท. ผู้บริหารต้องกล้าที่จะใช้อำนาจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน  มหาดไทยยุคนี้ต้องกล้าใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทุกคนได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกตั้งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นนายก อปท. หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนคือนกอินทรีต้องมีสายตาที่กว้างไกล แหลมคม มีพลัง ทำงานที่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้เร็วที่สุด ต้องไม่มีคำว่าวัดครึ่งกรรมการครึ่งเกิดขึ้นถ้าหากเกิดขึ้นในพื้นที่ใดก็มีความผิดตามกฎหมาย และขอฝากให้ผู้ว่าฯ รวมถึงผู้ตรวจราชการกระทรวง ประชุมทีมงาน มีหนังสือแจ้งแนวทางไปยังรองผู้ว่าฯ นายอำเภอ ต้องเขียนให้ผู้บริหาร อปท. เข้าใจวิธีทำงาน รวมถึงคำพูดหรือภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อที่ไปคุยกับประชาชนว่าจะทำอย่างไร ดูแลอย่างไร ช่วยเหลืออย่างไร" นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท มีงบประมาณป้องกันน้ำท่วมมากถึง 6,500 ล้านบาท ดังนั้น ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะแก้ไขน้ำท่วมอย่างไร ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันให้สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการใช้งบประมาณ  โดยแต่ละปีที่มีการจ่ายเงินเยียวยา แม้จ่ายรายครัวเรือนละ 100,000 บาทต่อครัวเรือน ยังไงมันก็ไม่เพียงพอกับความเสียหายที่เกิด ดังนั้น ถ้าลงทุนในโครงการที่แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

ส่วนที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจอปัญหาอุกทักภัยหนักแทบทุกปี ก็ได้มีการจัดกิจกรรม “kick Off” การจัดการระบบระบายน้ำ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน โดยได้รับเกียรติจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นายนนทพัฒ ถปะติวงศ์ ผอ.กองสวัสดิการสังคม และนายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ร่วมเปิดกิจกรรม

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่ถนนริมน้ำกก ซอย 4 ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย โดยเป็นความร่วมมือระหว่างเทศบาลนครเชียงราย และเรือนจำกลางเชียงราย ได้นำเจ้าหน้าที่และจิตอาสาผู้ก้าวพลาดจากเรือนจำร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำการขุดลอกคู คลอง และรางระบายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่

การดำเนินงานในครั้งนี้มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมที่ยั่งยืน ลดผลกระทบต่อชุมชน พร้อมเป็นต้นแบบการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ขณะที่จังหวัดน่าน นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี 2568 ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายนิวัฒน์ งามธุระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายบรรจง ขุนเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นางสาวพัฒนา ไวลิม รก.หัวหน้าสำนักงาน ปภ.จังหวัดน่าน พร้อมด้วย ทหาร ตำรวจ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ท้องถิ่นจังหวัดน่าน สถานีอุตุนิยมวิทยาน่าน โครงการชลประทานน่าน สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดน่าน เข้าร่วมประชุม และนำเสนอการเตรียมความพร้อมและสถานการณ์น้ำของแต่ละหน่วยงาน 

ที่ประชุมได้รับทราบในข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จากนั้นได้รายงานสถานการณ์สภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม 2568 ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ที่มีฝนจำนวนมาก กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานฯ ดังกล่าว เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศ การบริหารจัดการน้ำ ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์ เพื่อนำข้อมูลไปใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารในทุกระดับ ทีมอาจารย์ศูนย์เครือข่ายจุฬาฯด้วย

โดยแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม จ.น่าน  2568 มีดังนี้ 1.มอบหมายโครงการชลประทานจังหวัดน่าน และสนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน ตั้งระบบวิเคราะห์ / พยากรณ์สถานการณ์และการแจ้งเตือนที่ถูกต้องแม่นยำโดยร่วมกับทีมอาจารย์ศูนย์เครือข่ายจุฬาฯ น่าน 2.ตรวจสอบหอเตือนภัยทั้งหมด  7 แห่ง (บริเวณสะพานพัฒนาภาคเหนือ, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.พุทธบาท อ.เชียงกลาง, สวนสาธารณะบ้านปรางค์ ม.7 ต.ปัว อ.ปัว, สวนสาธารณะ บ.ท่าวังผา ต.ท่าวังผา อ.ท่าวัง, สวนสาธารณะบ้านป่ากล้วย ต.เวียงสา อ.เวียงสา, บริเวณหลัง อบต.ท่าน้าว และบริเวณหน้าสุสานบ้านน้ำลัด ต.นาปัง อ.ภูเพียง) โดยให้ตรวจสอบทุกวันพุธ และรายงานการตรวจสอบ 3. มอบหมายทุกอำเภอ เตรียมแผนอพยพ และศูนย์พักพิง 4.เทศบาล/อบต.ทุกแห่ง จัดซื้อเครื่องมือ,อุปกรณ์กู้ภัยเพิ่มเติม เช่น เจ็ตสกี, โดรนส่งเสบียง, เรือยนต์ และเสื้อชูชีพ เป็นต้น และ 5.ขุดลอกแม่น้ำน่านเฟส 1 (บริเวณสะพานพัฒนาภาคเหนือ ด้านเหนือ และ ด้านใต้ ฝั่งละ 1 กิโลเมตร) เริ่มเดือนมิถุนายน 68 นี้

ผู้ว่าฯ เน้นย้ำการบูรณาการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อให้การเตรียมความพร้อมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีการเตรียมการ ก่อนเกิดเหตุ แผนการปฏิบัติระหว่างเกิดเหตุ และการเยียวยาฟื้นฟูภายหลังภัยพิบัติผ่านพ้นไปแล้ว โดยนำแนวทางการปฏิบัติในปีที่ผ่านมา มาปรับใช้ และเน้นย้ำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือในการเผชิญเหตุให้มีความพร้อม สามารถใช้งานได้อย่างเพียงพอและทันท่วงที และให้ดำเนินการ เตรียมความพร้อม ได้แก่ การสำรวจความพร้อมของเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกลในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งแนวทางการใช้งบประมาณของ อปท. ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการจัดทำข้อมูลแบบสำรวจวัสดุอุปกรณ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

ส่วนที่จังหวัดอุบลราชธานี ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผวจ.อุบลราชธานี พร้อมด้วยนายสมมาตฎฐ์ โพธิ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี หน่วยงานราชการ นายอำเภอสิรินธร นายอำเภอโขงเจียม คณะทำงานบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูล ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูลและจัดประชุมคณะทำงานบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูล ที่ห้องประชุมโรงไฟฟ้าเขื่อนปากมูล อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี

โดยการประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณน้ำจากเขื่อนต่างๆ ของกรมชลประทาน รวมถึงการเข้าสู่ฤดูฝนปี 2568  โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  เพิ่มอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนปากมูล จาก 900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลาก

โดยมติที่ประชุมคณะทำงานบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูลให้รักษาระดับน้ำที่สะพานเสรีประชาธิปไตย (M.7) ที่ระดับ 106.80 เมตร รทก. ภายในวันที่ 3 มิถุนายน 2568  และให้เขื่อนปากมูลระบายน้ำที่อัตรา 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ภายใน วันที่ 15 มิถุนายน 2568  ให้เปิดบานประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลแขวนบานทั้งหมดสูงสุด จำนวน 8 บาน

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กฟผ. เขื่อนสิรินธร และกรมชลประทาน  ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมให้ กฟผ. ดำเนินการตามขั้นตอนทางเทคนิคในการบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูล เพื่อเตรียมการเปิดบานประตูระบายน้ำตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมตลอดช่วงฤดูฝนนี้อย่างต่อเนื่อง