คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

หากเราจะลองศึกษาถึงเส้นทางชีวิตการต่อสู้ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กันดูแล้วละก็ จะเห็นได้ในแง่ที่ไม่ว่าจะเป็น ด้านชีวิตส่วนตัว, ด้านชีวิตในแวดวงธุรกิจ,รวมไปถึงชีวิตในแวดวงการเมือง จะเห็นได้ว่าเขามีความโชกโชนในแทบทุกๆเรื่อง

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจหลักของเขานั้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2023 คณะลูกขุน ณ นครนิวยอร์ก ลงมติแบบเป็นเอกฉันท์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีความผิดทางอาญาในการปลอมแปลงเอกสารทั้งหมด 34 กระทง โดย “ผู้พิพากษาศาลกลางฮวน  เมอร์ชัน” ออกมากล่าวว่า “จะทำการพิพากษาโทษต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากพ้นออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี” มีผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวโต้โดยอ้างว่า ในเมื่อเขาได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งแล้ว คดีทั้งหมดของเขาสมควรที่จะยกเลิกโมฆะไป!!!

โดยขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามผลักดันให้ทีมทนายความเข้าไปต่อสู้คดี เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เขาต้องถูกลงโทษ แถมยังไม่ต้องการที่จะให้ตนเองต้องมีประวัติเรื่องที่จะต้องถูกจำคุกอีกด้วย

ส่วนด้านการบริหารประเทศ ดูเหมือนว่ากรณีประเด็นร้อนฉ่าเรื่องที่เขาเปิดศึกทำสงครามด้านการค้ากับนานาประเทศในขณะนี้ ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะกลับหยุดชะงักไม่เป็นไปตามแผนของเขาอีกครั้งหนึ่งก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าเขายังไม่ยอมถอดใจ ยังมีแนวคิดต้องการที่จะสู้ต่อกับจีนต่อไป

นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ในสมัยที่สอง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 นั้น  ดูเหมือนว่า เขาเข้าไปสร้างวิกฤติที่มีผลทำให้ทั่วทุกมุมโลกเกิดปัญหาทั้งทางด้านการเมืองและทั้งด้านสภาวะเศรษฐกิจกันอย่างหนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศจีน ที่เป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้จีนกำลังเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งในทุกๆด้าน และมีอำนาจต่อรองสูง ทำนองเดียวกันกับสหรัฐฯ และเนื่องจากที่ผ่านมาจีนเป็นประเทศคู่แข่งสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยิ่งมีผลทำให้สงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจระส่ำระสายปั่นป่วนวุ่นวายสูงมากขึ้นๆตามลำดับ

อนึ่งสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นับเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างแปลกประหลาด โดยฝ่ายของประธานาธิบดีทรัมป์ มักจะใช้โซเชียลที่ชื่อว่า “Truth Social”ของเขา เอามาโพสต์โจมตีเป็นอาวุธ ยกตัวอย่างอาทิเช่น เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความใหม่ลงใน Truth Social ว่า  “จีนละเมิดข้อตกลงในเรื่องการค้ากับสหรัฐฯ” โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความสาธยายต่อไปอีกว่า “เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯและจีนได้บรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว”

ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวภายหลังจากที่ “รัฐมนตรีฯการคลัง สกอตต์ เบสเซนต์”ของสหรัฐฯออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของ “สถานนีโทรทัศน์ช่องฟอกซ์นิวส์” ว่า “การเจรจาของสหรัฐฯกับจีนต้องชะงักไปชั่วครู่”และเมื่อการสัมภาษณ์นี้จบลง มีผลทำให้ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯปั่นป่วนติดลบลงในทันที!!!

ดูเหมือนว่าในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมานี้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน มีความปั่นป่วนมากยิ่งๆขึ้นตามลำดับ โดยเริ่มต้นตั้งเค้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 เรื่อยมาตามลำดับ

ซึ่งที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นผู้ตัดริบบิ้นประเดิมเปิดศึกด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% ต่อมาอีกแค่เพียงหนึ่งเดือนประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ออกมาประกาศว่า ตัดสินใจที่จะเพิ่มภาษีขาเข้าสินค้าที่มาจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 20% แถมต่อมาในวันที่ 9 เมษายน 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ออกมาแสดงท่าทีแบบเล่นตลก โดยประกาศว่า จะขึ้นภาษีสินค้าขาเข้าของจีนเป็น 145% และสองวันต่อมา มีผลทำให้จีนโต้ตอบด้วยการกำหนดภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯสู่ประเทศจีนขึ้นเป็น 125%

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมานี้ ปรากฏว่าทั้งสองประเทศมหาอำนาจคู่กรณีที่กำลังมีข้อพิพาทต่อกัน ได้ออกมาประกาศพักรบสงบศึกต่อกันชั่วคราว โดยประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาประกาศลดภาษีขาเข้าสินค้าจากจีนอยู่ที่ 30% และจีนก็ประกาศลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเหลือแค่ 10% เท่านั้น ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาป่าวประกาศ ณ ทำเนียบขาวว่า “ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับจีน”

แต่ทว่าต่อมาเมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมานี้ กลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นโดย คณะผู้พิพากษาศาลกลางสหรัฐ “The U.S. Court of International Trade” สามคนได้มีมติเอกฉันท์ได้มีมติว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีอำนาจภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจของปี 1977” ทั้งนี้ผู้พิพากษาของศาลกลางสหรัฐฯนี้แต่งตั้งโดย “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน”,  “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา”, และ“ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” โดยผู้พิพากษาทั้งสามท่าน ให้เวลาแก่ประธานาธิบดีทรัมป์ ในด้านดำเนินการยุติภาษีศุลกากรบางส่วนเป็นเวลา 10วัน ที่ถือได้ว่า เป็นข้อตัดสินที่รุนแรงที่สุดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับเลยทีเดียว

ทั้งนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯมาก่อน และดูเหมือนว่าขณะนี้บรรดาภาคธุรกิจและภาครัฐต่างๆกำลังฟ้องร้องต่อประธานาธิบดีทรัมป์ กันอย่างต่อเนื่องและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในข้อหาเกี่ยวกับสงครามการค้าที่สร้างผลกระทบไปในวงกว้าง ทั้งนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2025 ทีมเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังตระเตรียมแผนที่จะนำไปต่อสู้กับ “ศาลกลางระหว่างประเทศของสหรัฐฯ” ที่มีผลการพิพากษาด้วยมติเป็นเอกฉันท์ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีอำนาจภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ปี 1977”

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าเมื่อวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2025 ที่เพิ่งผ่านมานี้ จีนได้ออกมาตอบโต้ประธานาธิบดีทรัมป์ โดยตั้งข้อกล่าวหาโต้กลับต่อสหรัฐฯว่า “สหรัฐฯละเมิดข้อตกลงทางการค้า ที่ให้คำมั่นสัญญาว่า จะปกป้องผลประโยชน์ของจีน”

โดยตอนหนึ่งจีนได้ออกมาตอบโต้ในทำนองที่ว่า “หากสหรัฐฯยืนกรานที่จะดำเนินนโยบายตามแนวทางของตนเองต่อไป และยังคงทำลายผลประโยชน์ของจีน  จีนก็จะใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีนด้วยเช่นกัน” โดยจีนตั้งข้อกล่าวหาในแง่ที่ว่า สหรัฐฯนำข้อจำกัดมาใช้เลือกปฏิบัติ สุดท้ายจีนนี้ยังได้กล่าวเสริมเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า การที่สหรัฐฯละเมิดข้อตกลงทางด้านการค้าครั้งล่าสุดนี้ โอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับโทรศัพท์จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็มีน้อยลงไปด้วยเช่นกัน

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนี้ถึงแม้ว่าศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯกำลังตั้งคำถามถึงความไม่ชอบธรรมในการขึ้นภาษีนำเข้าของ“ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”อยู่ในขณะนี้ก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าเขาก็มิได้แสดงท่าทีวิตกกังวลว่า จะยกเลิกการใช้นโยบายนี้ก่อสงครามการค้าแต่อย่างใด อีกทั้งบรรดาทีมที่ปรึกษาของเขายืนกรานว่า “ไม่หวั่นไหวต่อคำพิพากษาของศาล และพร้อมที่จะต่อสู้กับจีนต่อไปอีก” ซึ่งผมเคยกล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเป็นซีรีย์เรื่องยาวมีหลายภาค ยากที่จะยุติลงง่ายๆละครับ