วันที่ 6 มิ.ย.2568 เวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา นายกันตพงศ์ ประยูรศักดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน แถลงข่าวเรียกร้องแก้ปัญหาราคาลิ้นจี่จักรพรรดิ์ตกต่ำ จนชาวสวนเดือดร้อน โดยได้ขนลิ้นจี่มาให้สื่อมวลชนประจำรัฐสภาชิมและดูขนาดของลูกลิ้นจี่ ก่อนกล่าวว่า วันนี้ตนอยากสะท้อนถึงปัญหาราคาลิ้นจี่ที่ตกต่ำมาก ลิ้นจี่จักรพรรดิ์ แต่ทำไมราคาติดดินขนาดนี้ เมื่อวานนี้(5 มิ.ย.)ตนได้มีโอกาสไป อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เห็นแล้วรู้สึกว่าน่าใจหาย

นายกันตพงศ์  ได้ชูลิ้นจี่ให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมระบุว่า ลิ้นจี่พวงนี้ บางลูกก็ขนาดเกือบเท่ากับมือของตน ซึ่ง อ.ฝาง สามารถผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 ตัน มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 5,000 ล้านบาท ชาวสวนบอกตนมาว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขายังคงขายได้ในราคากิโลกรัมละเกือบ 100 บาท แต่พอผ่านมาถึงเมื่อวาน(5 มิ.ย.)เหลือ 18 บาท และบางไซส์เหลือไม่ถึง 10 บาท ซึ่งไม่สะท้อนถึงต้นทุนการผลิตเลย ทั้งนี้ตนอยากสะท้อน 3 ย.ยักษ์ ที่รัฐบาลดำเนินนโยบายเกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร

ย. ตัวแรก คือ “ย่ำอยู่กับที่”  ไม่ว่ากระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหน ไม่เช่นนั้น พี่น้องเกษตรที่ปลูกลิ้นจี่คงไม่มาร้องเรียน การจัดการล้งก็ยังคงเหมือนเดิม ย.ตัวที่สอง “ย่ำแย่” ราคาตกลิ้นจี่มาก บิตคอยน์ยังลงไม่เท่านี้ และย. ตัวสุดท้ายคือ “อยู่ไม่ได้” ชาวสวนเขาจะอยู่กันอย่างไร

นายกันตพงศ์ กล่สาวต่อว่า ตนขอเสนอทางออก 2 ย.ยักษ์ ว่า ย.ตัวแรกคือ “ยั่งยืน” ต้องจัดการเรื่องปุ๋ยและการแปรรูป ให้สอดคล้องต้นทุนการผลิต ควรต้องให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูราคาที่จำหน่าย ตนอยากให้มีราคากลาง ไม่ใช่ราคาแกว่งไปมายิ่งกว่าบิตคอยน์ ลิ้นจี่เป็นสินค้าที่บ่งชี้ถึงเอกลักษณ์ไทย (GI) รัฐบาลส่งเสริมให้ปลูก แต่ผลิตแล้วขายไม่ได้ 

ส่วน ย.ตัวที่สองคือ “ยุติธรรม” ต้องยุติธรรมทางผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้บริโภค วันนี้ไปกดต้นทุนเหลือ 18 บาท ค่าขนส่งไม่เกิน 15 บาท แต่ตลาดขาย 60 กว่าบาท แสดงว่ากำไรประมาณ 3 เท่า และพอขึ้นห้างสรรพสินค้า ขายเป็น 100 บาทต่อกิโลกรัม แสดงว่าพ่อค้าคนกลางได้กำไรเยอะเลย 300 เท่า ขณะที่ชาวนาขาวสวนขาดทุน แล้วมันยุติธรรมตรงไหน

“ท่านจะให้ชาวไร่ ชาวนา จน เจ็บ เจ๊ง อย่างนี้หรือ ผมฝากไว้ด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ ต้องทำให้ดีกว่านี้ ไม่เช่นนั้นให้เราทำจะดีกว่า Respect ” นายกันตพงศ์ กล่าว