ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ การเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ รอบที่ 2 ซึ่งมีขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ภายหลังจากในศึกเลือกตั้งรอบแรก เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

โดยการชิงชัยต่อสู้สัประยุทธ์กัน ก็ต้องบอกว่า “พลิกไปพลิกมา” ราวกับกล้วยปิ้ง สถานการณ์ผลัดกันนำกันตาม คู่คู่สูสีเหลือประมาณ ซึ่งถ้าเป็นการแข่งขันชกมวยแล้วหล่ะก็ บรรดาเซียนมวยต่างชี้นิ้วไปที่ผู้ชนะกันคนละมุมเลยก็ว่าได้ แบบเฮียเส็งชี้แดง เฮียแสงชี้น้ำเงิน อะไรทำนองนั้น

นายราฟาล ตรัสคอฟสกี นายกเทศมนตรีกรุงวอร์ซอว์ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ ในนามพรรคแพลตฟอร์มพลเมือง หรือพีโอ (Photo : AFP)

โดยสังเวียนการเลือกตั้งรอบแรก ปรากฏว่า “นายราฟาล ตรัสคอฟสกี” วัย 53 ปี นายกเทศมนตรีกรุงวอร์ซอว์ ซึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าจะขยับจากนักการเมืองท้องถิ่น สู่นักการเมืองระดับชาติ ด้วยการเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของโปแลนด์ จึงลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ ในนาม “พรรคแพลตฟอร์มพลเมือง” หรือ “พีโอ” ก็คว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งคนสำคัญอย่าง “นายคารอล นาฟรอซกี” วัย 42 ปี ผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ แบบอิสระ คือ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด แต่โดยทั่วไปก็เป็นรู้กันว่า “พรรคกฎหมายและความยุติธรรม” พรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายแบบฝ่ายขวา คือ อนุรักษ์นิยม และชาตินิยม ตลอดจนมีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอันเดรจ ดูดา ผู้นำโปแลนด์ที่กำลังจะหมดวาระไป ให้การสนับสนุน

นายจาโรสลาฟ คาซซีนสกี หัวหน้าพรรคกฎหมายและความยุติธรรม หรือพีไอเอส ของโปแลนด์ ประกาศให้การสนับสนุนต่อนายคารอล นาฟรอซกี เพื่อให้ได้เป็นประธานาธิบดีโปแลนด์คนใหม่ (Photo : AFP)

ว่ากันถึง แนวคิด แนวนโยบายของผู้สมัครฯ ทั้งสองคนนั้น ก็ต้องถือว่า คนละขั้ว คนละมุมอย่างชัดเจน โดยทางนายตรัสคอฟสกี ที่แม้จะเอียงไปในทางอนุรักษ์นิยม แต่ก็ค่อนมาทางสายกลางๆ ไปจนถึงเสรีนิยม และฝักใฝ่ต่อสหภาพยุโรป หรืออียู หรือที่เรียกว่า โปรอียู แตกต่างจากนายนาฟรอซกี ที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม และค่อนไปทางชาตินิยม หรือฝ่ายขวา ถึงขนาดนักวิเคราะห์การเมืองโปแลนด์บางคน เรียกนายนาฟรอซกี ว่า ทรัมป์แห่งโปแลนด์ เพราะการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ชูนโยบาย “โปแลนด์ต้องมาก่อน” เหมือนกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ชูสโลแกนการหาเสียงว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” และกล่าวกันว่า นายนาฟรอซกี ผู้นี้ ก็ได้การสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์นี้ด้วยอีกต่างหาก

แผ่นป้ายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของนายคารอล นาฟรอซกี และนายราฟาล ตรัสคอฟสกี สองผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ (Photo : AFP)

ทั้งนี้ นายตรัสคอฟสกี ชนะนายนาฟรอซกี ไปอย่างเฉียดฉิว ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ31.4 ต่อร้อยละ 29.5 หรือเพียง 1.9 จุดเท่านั้น

อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งประธานาธิบดีของโปแลนด์ กำหนดให้มีการเลือกตั้งกัน 2 รอบ และรอบที่ 2 ก็จะเป็นรอบน็อกเอาท์ คือ รอบตัดสินว่า ผู้ชนะก็จะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ

ทางการก็ต้องจัดเลือกตั้งกันในรอบที่ 2 เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้

โดยในช่วงระยะเวลาการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก่อนที่จะเปิดคูหาให้ประชาชนหย่อนบัตรเลือกตั้งรอบที่ 2 นั้น ปรากฏว่า คะแนนนิยมของผู้สมัครฯ ทั้งสอง ก็ยังคงเบียด คู่คี่สูสี โดยนายตรัสคอฟสกี ดูจะเหลื่อมเล็กน้อย คือ ราวๆ ร้อยละ 50 ต่อร้อยละ 49 แบบทิ้งห่างกันไม่ถึง 1 จุด

แม้กระทั่งการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งบริเวณหน้าคูหาเลือกตั้งแต่ละหน่วย หรือเอ็กซิตโพลล์ ตัวเลขผลโพลล์ก็ยังสูสีคู่คี่ ผลัดกันนำ ผลัดกันตาม ห่างกันไม่ถึง 1 จุดเช่นกัน

อันเป็นเหตุให้ผู้สมัครฯ ทั้งสอง คือ นายตรัสคอฟสกี และนายนาฟรอซกี ต่างออกมาอ้างชัยชนะในการเลือกตั้งที่มีขึ้น ในระหว่างที่รอผลนับคะแนนเลือกตั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องรอให้นับคะแนนเลือกตั้งแล้วเสร็จ และให้ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการออกมา จึงจะมั่นใจได้ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะ

ผลปรากฏว่า นายนาฟรอซกี คว้าชัยชนะไปด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 50.89 เหนือนายตรัสคอฟสกี ที่ได้คะแนนเสียงร้อยละ 49.11 ห่างกันเพียงร้อยละ 0.78 ไม่ถึง 1 จุด

หรือถ้ากล่าวถึงจำนวนคนที่ไปลงคะแนนเสียงให้ ทางนายนาฟรอซกี ได้คะแนน 10,606,877 เสียง ส่วนนายตรัสคอฟสกี ได้ 10,237,286 เสียง ชนะกันไปไม่ถึง 400,000 เสียง คือเพียง 368,591 เสียงเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นการเลือกตั้งในบางประเทศ อาจมีร้องเรียนขอให้นับคะแนนกันใหม่ก็เป็นได้

ทั้งนี้ ผลคะแนนเลือกตั้งที่ออกมาสูสีคู่คี่อย่างเหลือประมาณเช่นนี้ บรรดานักวิเคราะห์ แสดงทรรศนะว่า สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดของชาวโปแลนด์กันเป็นอย่างมาก แบบว่า แบ่งกันครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว สำหรับ การชอบ-ชังที่มีต่อว่าประธานาธิบดีโปแลนด์คนใหม่รายนี้ ซึ่งจะประกอบพิธีสาบานรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและเข้าทำเนียบประธานาธิบดีโปแลนด์ ในกรุงวอร์ซอว์ ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้

ก็ต้องถือเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของนายนาฟรอซสกีด้วยเหมือนกันว่า จะประสานรอยร้าว สร้างความเป็นเอกภาพ เป็นปึกแผ่นแก่ประชาชนชาวโปแลนด์ได้อย่างไร และจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน?

ขณะที่ ด้านการต่างประเทศ ซึ่งไม่ต้องพูดไปให้ห่างไกลจากโปแลนด์ โดยว่ากันในระดับบ้านใกล้เรือนเคียง ใกล้ชิดติดกันกับโปแลนด์ อย่าง “สหภาพยุโรป” หรือ “อียู” และ “ยูเครน” ดูจะไม่ปลื้มกับการเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของโปแลนด์สักเท่าไหร่ แม้ว่าจะออกมาแสดงความยินดีกับชัยชนะของนายนาฟรอซกีก็ตาม

ทั้งนี้ ก็ด้วยการชูนโยบายสำคัญในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของนายนาฟรอซกี ก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้ว “โปแลนด์ต้องมาก่อน” ก็หมายความว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องให้โปแลนด์ ได้รับผลประโยชน์ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่นับรวมถึงแนวคิดแนวนโยบายของเขา ที่เป็นไปในทิศทางอนุรักษ์นิยม ชาตินิยม หรือฝ่ายขวา ตลอดจนคะแนนเสียงของนายนาฟรอซกีที่ได้มาจากการเลือกตั้งหนนี้ ก็กล่าวกันว่า ชาวโปแลนด์ ที่มีแนวคิดแบบฝ่ายขวา หรือชาตินิยม เป็นกลุ่มที่เทคะแนนเสียงให้แก่เขา จนสามารถทำให้เขาพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ก็ทำให้เขาต้องมองไปถึงผลประโยชน์ของโปแลนด์เป็นอันดับแรก ส่วนผลประโยชน์ของอียู อันเป็นกลุ่มความร่วมมือที่โปแลนด์เป็นชาติสมาชิกอยู่ด้วยนั้น ก็เป็นเรื่องถัดรองลงมา

ผู้อพยพชาวยูเครน ที่ลี้ภัยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ไปยังประเทศโปแลนด์ ซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของโปแลนด์ ไม่ปลื้มกับกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้ โดยอาจจะให้อียูเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบ (Photo : AFP)

เช่นเดียวกับทางยูเครน ที่แทบจะไม่ต้องพูดถึง โดยในเรื่องการสนับสนุนการสู้รบกับรัสเซีย ก็อาจจะดำเนินต่อไป แต่อาจจะไม่มากเท่ารัฐบาลที่ผ่านมา ส่วนในเรื่องกลุ่มผู้อพยพชาวยูเครน ที่เข้ามาลี้ภัยในโปแลนด์ อาจจะมีปัญหานับจากนี้ เพราะนายนาฟรอซกี ดูจะไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ และอาจจะมีการกระตุ้นเตือนต่อทางอียู ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อกลุ่มผู้อพยพชาวยูเครนนี้ด้วยเหมือนกัน แบบไม่ให้โปแลนด์ต้องเสียงบประมาณเพื่อรองรับกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้กันเปล่าๆ หรือแต่เพียงลำพัง