เพียงไม่กี่วันหลังผ่านวันรณรงค์งดสูบบุหรี่โลก ประเทศไทยกลับต้องเผชิญเหตุการณ์ที่สะเทือนใจอย่างมาก เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ 6 คนร่วมกันบุกเข้าไปปล้นโกดังของกลางของกรมศุลกากรที่ใช้เก็บบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนถอยรถชนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจนเสียชีวิตคาที่ อีกหนึ่งวันถัดมาก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะใกล้เคียงกันที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้าแต่ผู้ขายไหวตัวทัน เร่งเครื่องขับรถชนเจ้าหน้าที่และรถของตำรวจจนรถพลิกคว่ำกลางถนน
เหตุการณ์ทั้งสองนี้สะท้อนภาพความรุนแรงที่เกิดจากสิ่งที่เรียกกันว่า “สินค้าต้องห้าม” อย่างชัดเจน และเป็นสิ่งยืนยันว่าการแบนบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ทำให้การเข้าถึงของเยาวชนง่ายขึ้น หรือเพียงตลาดมืดใต้ดินที่ขยายตัวจนทำให้มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% ภายในระยะเวลา 3 ปี หากแต่ได้พัฒนากลายเป็นอาชญากรรมที่สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและความปลอดภัยของสังคมในวงกว้าง
สอดคล้องกับที่สังคมและผู้สูบบุหรี่เคยตั้งคำถามว่า การแบนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยวันนี้ ยังเหมาะสมอยู่หรือไม่ และแนวทางนี้มันใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยแล้วหรือ
การประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะเอาจริงกับบุหรี่ไฟฟ้า ได้ส่งผลให้สินค้านี้กลายเป็น “ของหายาก” และมีราคาสูงขึ้นตามกลไกตลาด ตรงกันข้ามกับในประเทศที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมาย ผู้สูบบุหรี่สามารถซื้อบุหรี่ไฟฟ้าได้จากร้านค้าที่ได้รับอนุญาต มั่นใจในมาตรฐานสินค้าและไม่ต้องกังวลว่าจะทำผิดกฎหมายเพียงเพื่อเสพนิโคติน ซึ่งไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็งเหมือนแอลกอฮอล์
ประวัติศาสตร์ของมาตรการห้ามสินค้าบางประเภท มักตามมาด้วยความรุนแรงที่ไม่มีใครคาดคิด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ยุคห้ามแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกา (Prohibition Era) ระหว่างปี ค.ศ.1920-1933 รัฐบาลพยายามแบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่กลับทำให้ตลาดใต้ดินเฟื่องฟู เกิดการลักลอบผลิต การลักลอบขนส่ง และอาชญากรรมจากกลุ่มมาเฟียที่เข้าควบคุมตลาดมืด ซึ่งสร้างความเสียหายต่อสังคมและทำให้รัฐต้องยกเลิกการแบนในท้ายที่สุด
ประเทศไทยเลือกเดินเส้นทางนี้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในปี 2557 และคําสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2558 ก่อนจะมีการตอกย้ำด้วยการออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น แต่มาตรการเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลที่การลดจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือผู้สูบบุหรี่ แต่กลายเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้ให้เครือข่ายและแก๊งอาชญากร หรืออาจจะรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติมิชอบ ใช้ความรุนแรงและหาช่องทางเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับตนเอง
เราไม่ได้ปฏิเสธความจำเป็นในการควบคุมการบริโภคยาสูบโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน เพื่อไม่สร้างนักสูบหน้าใหม่ และลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในปัจจุบันให้น้อยลง แต่การแบนอย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่มีระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพ กลับทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้นจนรัฐเองอาจควบคุมไม่ได้
กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้กำหนดทิศทางนโยบายสาธารณสุขและภาษียาสูบ จึงต้องหันกลับมาทบทวนจุดยืนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องไปนำเสนอนโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของไทยต่อเวทีโลกใด ๆ เช่น การประชุมประเทศสมาชิกกรอบอนุสัญญาการควบคุมการบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) เพราะเหตุอาชญากรรมที่เกิดจากการบังคับใช้มาตรการแบนและอัตราการเติบโตของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดดทั้งในผู้ใหญ่และเด็กและเยาวชน ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ หรือสมควรจะยกไปเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นได้ปฏิบัติตาม