จากกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดน โดยยืนยันไทยจะรักษาอธิปไตยอย่างเต็มที่ และเลือกสันติวิธีในการแก้ปัญหา แต่ก็พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ส่งผลให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างร้อนแรงในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะท่าทีของนายกรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในวันแถลงข่าว ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าไม่เหมาะสม

ฝ่ายเพื่อไทยโต้กลับ ชี้ “ตรวจสอบต้องมีข้อเท็จจริง ไม่ใช่อคติ”

ล่าสุด ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ หรือ “ดร.หญิง” รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาทวีตแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการวิจารณ์ของนักการเมืองพรรคฝั่งตรงข้าม โดยระบุว่า หากจะตรวจสอบผู้นำประเทศ ควรดูข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน ไม่ใช่ใช้เพียงความรู้สึกส่วนตัว

เธอยืนยันว่า น.ส.แพทองธาร ตอบคำถามสื่อมวลชนอย่างครบถ้วน ไม่มีการหลีกเลี่ยง พร้อมวิจารณ์การตั้งคำถามที่ “ไม่ให้เกียรติ” และการสรุปเรื่องราวในฐานะ “พยานในเหตุการณ์” ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง

“ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญกับวิกฤติ สิ่งที่สังคมควรได้ยินไม่ใช่เสียงโกรธเกรี้ยว แต่คือการร่วมกันหาทางออกอย่างมีสติ” ดร.หญิงกล่าวในทวีต

 

 

ฝ่ายประชาชน วิจารณ์แรง “ไร้วุฒิภาวะ-เล่นการเมืองเก่า”

ด้าน รักชนก ศรีนอก ว่าที่ ส.ส. กทม. พรรคก้าวไกล ทวีตตอบโต้ว่า การแสดงออกของ น.ส.แพทองธาร ต่อหน้าสาธารณะ “เกินเยียวยา” และสะท้อนว่า “ขาดวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำประเทศ” พร้อมระบุว่าการพูดจาและท่าทีเช่นนี้ หากไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ คงไม่มีใครอยากถามคำถามหรือร่วมงานด้วย

“อายจริง ๆ ที่มีคนแบบนี้เป็นผู้นำประเทศ” รักชนกระบุ พร้อมเตือนประชาชนให้ดูพฤติกรรมและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเลือกตั้งครั้งหน้า

นอกจากนี้ ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ก็ออกมาโพสต์ด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อนเช่นกันว่า นายกรัฐมนตรีควรใช้เวลาทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชน มากกว่าตอบโต้กับสื่อ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า แพทองธาร “ไม่มีทั้งความรู้ วุฒิภาวะ และเจตจำนงในการทำงาน”

 

วิเคราะห์: เมื่อความขัดแย้งสื่อ-ผู้นำ กลายเป็นเกมการเมือง
เหตุการณ์นี้สะท้อนความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในวงการการเมืองไทย โดยเฉพาะเมื่อผู้นำประเทศตกเป็นเป้าการวิจารณ์เรื่องวุฒิภาวะและท่าทีต่อสื่อ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนสำคัญต่อการรับรู้ของประชาชน

ฝ่ายรัฐบาลพยายามแสดงความมั่นใจและปกป้องผู้นำในเชิงจริยธรรมและข้อเท็จจริง

ขณะที่ฝ่ายค้านใช้ช่องว่างจากท่าทีดังกล่าวในการตอกย้ำจุดอ่อนด้านบุคลิกภาพและภาวะผู้นำ

สำหรับสังคมไทยที่กำลังเผชิญทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศ คำถามสำคัญคือ ผู้นำประเทศควรรับมือกับแรงเสียดทานจากสื่อและฝ่ายค้านอย่างไร โดยไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือ และในขณะเดียวกัน สื่อควรตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์ หรือวิพากษ์อย่างมีขอบเขตแค่ไหน