รัฐบาล เดินหน้าออกแถลงการณ์ ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ยันใช้สันติวิธี เร่งแก้ปัญหาทุกมิตินายกฯปลุกคนไทยสามัคคี ไม่แบ่งแยก ย้ำ รักษาอธิปไตย ก่อนยกเพลงชาติ ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด รับเตรียมพร้อมหากสันติวิธีไม่ได้ผลพร้อมปะทะ ชี้ไม่มีใครให้เพื่อนเผาบ้าน ด้านภูมิธรรมลั่นเลอะเทอะ! บิ๊กกัมพูชาล็อบบี้ไม่ให้ปิดด่าน ย้ำไทยไม่รับอำนาจ ศาลโลก
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังการประชุมทุกภาคส่วนของรัฐบาลภายหลังเกิดแหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ว่า กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม
โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทยซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีสถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับรวมถึงนายกรัฐมนตรี ของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันด้วยความห่วงใยในสถานการณ์ ผลจากการพูดคุยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้น คือกลไก JBC ตามที่ ผู้บัญชาการทหารบก ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนประเด็น เกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่อาจประสงค์จะใช้กลไกทางศาลหรือฝ่ายที่สามมาพิจารณาเรื่องนี้นั้น ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน เช่น - JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม)ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอ ของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น (ในวาระที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิ.ย.68 ที่กัมพูชา - GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา)ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค)ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพภาค ซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อยนอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
รัฐบาลขอยืนยันว่า ปัจจุบันสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั่วไป มีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ตามขั้นตอนในการปกป้องอธิปไตยของไทย และรักษาสิทธิทางกฎหมายของไทยอย่างครบถ้วน และเชื่อมั่นว่า ไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงความเป็นครอบครัวของอาเซียนด้วยกัน
ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ในที่ประชุมครม.ได้มีการหารือสถานการณ์ชายแดนอละได้เน้นย้ำเรื่องของการรวมกันเป็นหนึ่ง เพราะปัญหาทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยและคนไทยทุกคนต้องรักษาสามัคคีกัน ต้องรวมกันให้ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นการเมืองไทยในประเทศที่เราต้องมาแบ่งฝ่ายว่ารัฐบาลทำงานไม่ได้ ทหารทำงานดีไม่ดี มันเป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกันและต้องขอความช่วยเหลือจากทุกๆสื่อด้วย ต้องใช้ความสามัคคี ความรักกันของคนในชาติ เพื่อที่จะสนับสนุนกัน รัฐบาลไม่ใช่แปลว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง รัฐบาล ฝ่ายค้าน ประชาชนก็คือประเทศไทย ซึ่งเราขอความร่วมมือจากทุกคน การแสดงความคิดเห็น การปล่อยข่าวเฟกนิวส์ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ถามว่ารัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างไร รัฐบาลทำเรื่องนี้เต็มที่ เราต้องรักษาอธิปไตยของเราไว้ นี่คือสิ่งที่สำคัญและจำเป็นว่าเราจะต้องทำอย่างแน่นอน
นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของตัวรัฐบาลและทางทหารมีการคุยกันตลอดว่าจะไปทางไหนอย่างไร เราต้องมั่นใจว่าเราเป็นประเทศไทย เพลงชาติของเราก็บอกอยู่แล้วไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เราเตรียมพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัยของคนไทยทุกคนอย่างแน่นอน ที่สงสัยว่าจะสงบสุขอย่างไร ตรงนั้นสงบสุขจริงหรือเปล่า จะบอกว่าไม่ต้องสงสัยเราเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์พร้อม เผื่อถ้ามีเหตุการณ์ปะทะขึ้นมาเราก็ต้องพร้อมในการรับมือ ไม่ใช่มาบอกว่าเราสันติวิธี แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ผิดคาดไม่พร้อม ไม่ได้ เราต้องพร้อมที่จะรับมือทุกรูปแบบ แต่แน่นอนว่าเราเลือกสันติวิธี เราเลือกสิ่งนี้ เราเลือกที่จะไม่อยากให้มีการปะทะกัน ไม่อยากให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อไม่ว่าจะเป็นคนประเทศไหนก็ตาม ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้อุปกรณ์พร้อม เครื่องมือพร้อม แต่พูดคุยได้ในทุกระดับ ก็อย่างที่แจ้งไปวันนี้เอง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะลงไปในพื้นที่ไปดูเหตุการณ์หน้างานว่าเป็นอย่างไรบ้างและจะมีการนัดคุยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) วันที่ 14 มิ.ย. นี้ ก็จะมีการพูดคุยกันในรายละเอียด แต่ระหว่างช่วงนี้ก่อนที่จะมีการพูดคุยกันเราก็ต้องคิดอยู่เสมอว่าคนในชาติของเราต้องรักและเข้าใจว่าความร่วมมือต่างๆนั้นสำคัญมาก แต่ในรายละเอียดเล็กๆที่คุยกันในทุกระดับเราทั้งสองฝ่ายไม่สามารถแถลงเปิดเผยทั้งหมดได้ ขอให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งนี้และอย่ามองเรื่องนี้เป็นการเมืองภาพเล็กที่คนไม่สนับสนุนกันจะต้องมาต่อสู้กันมันไม่จำเป็นมันไม่ใช่นาทีนี้ วันนี้คนไทยต้องรวมกันเพื่อที่จะปกป้องพื้นที่ของเราปกป้องคนไทยด้วยกันเองตรงนี้คือสิ่งสำคัญ
เมื่อถามว่า มองหรือไม่ว่าขณะนี้มีขบวนการสมคบคิดไทยกับกัมพูชา ในการจุดไฟชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง นายกฯ ถามกลับว่า ขบวนการสมคบคิดกับใคร คนไทยกับกัมพูชาหรือ ตนไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าไม่มีแบบนั้น
เมื่อถามว่า นายกฯ อยากชี้แจงกรณีโซเชียลมีเดียโจมตีนายกฯ ถึงท่าทีที่ผ่านมา และมีการโยงไปถึงคนในตระกูลนายกฯ ดองกับคนสนิทของ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา นายกฯ กล่าวว่า คืออย่างนี้ ในระดับความสัมพันธ์ของผู้นำตนไม่เถียงเลยว่าเป็นมิตรกัน ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะมีเพื่อน พร้อมกับย้อนถามสื่อมวลชนว่าคนข้างๆ เป็นเพื่อนหรือเปล่า ทุกคนมีเพื่อนได้ แต่ถามว่าถ้าวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกัน หรือเพื่อนไม่เข้าใจ เราปรับความเข้าใจกัน ถูกใช่หรือไม่ มันก็คงเป็นเรื่องง่าย ถ้าสมมุติเป็นเรื่องนู้นเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องการค้าหรือเรื่องอะไรก็ตาม เรายกหูกันได้ นั้นคือสิ่งที่ทำตลอด ไม่ใช่เฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งก็ทำแบบนี้กับมาเลเซียรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านก็ทำแบบนี้คือคุยตรง
แต่ถามว่าถ้าเรามีปัญหาจริง ๆ ที่ลึกซึ้งเพื่อนวันนี้ทะเลากัน ฉันเผาบ้านเธอได้หรือไม่ มันไม่มีเพื่อนคนนั้นที่ได้บอกว่าได้จ๊ะ ให้บ้านกันไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องบอกว่าเพื่อนก็คือเพื่อนความสัมพันธ์อันดีมีจริงๆ และตอนที่เกิดเรื่องของความไม่สงบ ตัวดิฉันกับนายกฯ กัมพูชาก็คุยกัน ว่าเราจะถอยความรุนแรงไม่ปะทะกัน ท่านก็ให้ความร่วมมือจริงๆ ณ วันนั้น พอมีเรื่องเกิดขึ้น ในระดับหน้างานเขาก็จัดการกัน จะต้องทำความเข้าใจตรงนี้ด้วย นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ท่าทีของรัฐบาลดูนิ่งไป ควรที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกหรือไม่ เพื่อเป็นการตอบโต้บ้าง นายกฯ กล่าวว่า เราดูในเรื่องความสงบสุขว่าถ้าปิดด่านชายแดนจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ จะเกิดโทษหรือคุณอย่างไรบ้าง เรื่องนี้ปรึกษากับทางทหารมาโดยตลอดว่าควรขยับอย่างไรบ้าง หน้างานอุณหภูมิประมาณไหน เรื่องนี้คือสิ่งที่คุยกันตลอด และวันนี้ที่รัฐบาลออกแถลงการณ์ก็ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศรวมถึงทางทหาร ว่าเราจะออกแถลงการณ์แบบไหนให้ประชาชนทราบว่าเราพร้อมที่จะดูแลพี่น้องประชาชน และเราพร้อมที่จะคุยกับต่างประเทศด้วยสันติวิธี อันนี้คือใจความหลักที่จะเกิดขึ้น
เมื่อถามว่า ท่าทีของสมเด็จฮุนเซ็น และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ออกมา ดูจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่นายกฯ พูดว่าจะมีการเจรจาตามลำดับ นายกฯ กล่าวว่า นั้นคือสิ่งที่เราต้องยืนยัน ถ้าเขาออกมารุนแรง แล้วเรารุนแรงกลับ ถามว่าสันติวิธีจะเกิดหรือไม่ แต่ถามว่าเราเตรียมรับมือหรือไม่ เราเตรียมแน่นอน แต่ถ้าเราเลือกได้ เราเลือกสันติวิธี และวันนี้เรายังเลือกได้
เมื่อถามว่า ทางกัมพูชาล้ำเข้ามาในพื้นที่แล้ว 200 เมตร นายกฯ ย้อนถามกลับว่า ได้ไปดูหน้างานแล้วหรือยัง เมื่อถามย้ำว่า แม่ทัพภาค 2 พูดชัดเจนว่ามีการรุกล้ำ นายกฯ ชี้นิ้ว พร้อมระบุว่า ใช่ค่ะ ก่อนจะกล่าวต่อว่า นายภูมิธรรม จะลงพื้นที่ไปดูหน้างาน พร้อมกับบอกสื่อมวลชนว่า ไปดูด้วยกันเลยก็ได้ โดยสื่อมวลชน กล่าวตอบว่า นายภูมิธรรมไม่พาไป ก่อนที่นายกฯ จะร้องอ่อ และกล่าวว่า เขาไม่พาไป พร้อมกับหัวเราะและปลอบสื่อมวลชนว่า ไม่เป็นอะไรนะคะ โดยสื่อมวลชน ตอบว่า ไม่เสียใจ ก็มาถามกับนายกฯได้ ก่อนที่นายกฯ จะกล่าวว่า นึกว่าเสียใจ จะบอกว่าไม่เป็นอะไรนะคะ พร้อมกับหัวเราะ ก่อนจะถามสื่อมวลชนว่าเป็นอะไรหรือเปล่า นักข่าววันนี้ดุจังเลย ก่อนที่นักข่าวจะระบุว่า ไม่ได้ดุค่ะ
ผู้สื่อข่าวงานว่าภายหลังการให้สัมภาษณ์ น.ส.แพทองธาร ได้เดินมาหาผู้สื่อข่าวที่สอบถามประเด็นชายแดน โดยนายกฯกล่าวว่า จะมาถามว่ามีอะไรหรือเปล่า หายไปไหนแล้ว เขาโกรธอะไรหรือวันนี้ หน้าเขาดูเหวี่ยงมากเลยจึงเดินมาดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะพี่อ้วนไม่ชวนลงพื้นที่หรือ งง เพราะเขากระฟัดกระเฟียด ทำให้สื่อมวลชนที่ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว ชี้แจงว่า ไม่ใช่ เสียงเขาเป็นเช่นนั้นไม่มีใครโกรธนายกฯ และที่ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวออกไปก่อนแล้ว เพราะออกไปทำแถลงข่าวอีกที่หนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังให้สัมภาษณ์เสร็จ น.ส.แพทองธาร เดินทางขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันทีไม่ได้ขึ้นไปรับประทานอาหารบนตึกบัญชาการเหมือนทุกสัปดาห์
ส่วน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีรัฐบาลออกแถลงการณ์การแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชาว่า ปัจจุบันรัฐบาลดำเนินการไปตามขั้นตอน และข้อเท็จจริงที่รับรู้ เราไม่ได้ทำตามอารมณ์ หรือความต้องการของใคร แต่ดำเนินการภายใต้การปกป้องของอธิปไตย ในบางเรื่องเราไม่ได้เอ่ยถึง เพราะเขาพยายามขยายวงไปถึงศาลโลก เราพยายามจะจำกัดวงไม่ให้ไปถึงจุดนั้น เราจะพูดเฉพาะจุดปะทะ และยึดเอ็มโอยู 43 เนื่องจากง่ายในการหาข้อสรุปร่วมกันได้ ขณะนี้สิ่งที่เกิดปัญหาบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ต้นสันบรรณถึงสามแยกลาวเรากลับมาดูตรงนี้ ส่วนพื้นที่อื่นยังไม่มีอะไรรุนแรง เราอย่าไปเล่นเกมตามเขา เพราะจะกลายเป็นประเด็นที่นานาชาติเข้ามาและเรามั่นใจในจุดยืนของกระทรวงกลาโหมและกองทัพ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของชาติ ซึ่งจะกระทบกับเอกราชและดินแดนของประเทศไทย ไม่อยากให้ขยายวงกว้าง
ยืนยันว่ารัฐบาลเตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว ในการต่อสู้ในแง่ของกฎหมาย การเจรจาร่วมตามกลไกต่าง ๆ และหากมีความจำเป็นทหารเตรียมการในแนวหน้าไว้หมดแล้ว ไม่อยากให้มีการปลุกปั่นหรือตำหนิกัน ซึ่งวันนี้แกน