องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรฯ เผยแพร่บทความผ่านเพจ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1133458192155326&set=a.301962278638259 ส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลถึงการใช้ “งบกลาง” โดยเฉพาะ “รายการกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฯ” กว่า 1.2 แสนล้านบาทซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ นั้น ว่า  มีความเสี่ยง “สูงมาก” ที่จะเกิดการทุจริต เสนอแนะรัฐบาลเร่งออกมาตรการการใช้งบประมาณในแนวทางใช้เท่าที่จำเป็น เน้นความโปร่งใส และไม่ควรพลาดซ้ำดังหลายกรณีก่อนหน้านี้

นายมานะให้ข้อมูลว่า “รายจ่ายงบกลาง” ปี 2569 วงเงิน 6.32 แสนล้านบาทถูกแบ่งใช้จ่ายหลายก้อน แต่ที่เสี่ยงสูงต่อการใช้อย่างบิดเบือน ไม่คุ้มค่าและคอร์รัปชัน คือ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 9.8 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท รวม 1.23 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก  

ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบกลางรายการกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและการจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฯ กว่า 1.2 แสนล้านบาทมี “ความเสี่ยงสูงมาก” ที่จะเกิดคอร์รัปชันและการใช้จ่ายที่สูญเปล่า ไม่คุ้มค่า ไม่เกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้าง ด้วยปัจจัยสำคัญคือ 

(1) งบนี้มีความยืดหยุ่นสูงที่จะนำไปใช้โดยไม่มีแผนล่วงหน้า ทำให้อนุมัติได้ง่ายและเร็ว โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ต้องศึกษา ตระเตรียม คัดกรอง ไม่ได้เข้าสู่การตรวจสอบของรัฐสภาเช่นเดียวกับงบประมาณอื่น

(2) แม้กฎหมายให้เสนอ ครม. อนุมัติ แต่ในทางปฏิบัติเป็นที่รู้กันดีว่าผู้มีอำนาจจริงคือ นายกรัฐมนตรี เท่ากับเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจสามารถเลือกโครงการตามดุลยพินิจได้ง่าย เมื่อไร้กติกาจึงขาดความโปร่งใส เป็นไปตามอิทธิพลของพรรคการเมืองและพวกพ้องได้มาก  

(3)  การอ้างภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน เป็นเงื่อนไขให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้

“เมื่อพูดถึงงบฉุกเฉินจำเป็น คนทั่วไปมักนึกถึงงบภัยพิบัติ งบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบแก้ปัญหาน้ำท่วม งบฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม งบสู้ภัยแล้ง งบป้องกันไฟป่า งบแก้ปัญหาศัตรูพืชระบาด ฯลฯ แต่ความจริงงบก้อนนี้ยังรวมถึงงบราชการลับ งบปลูกป่าปลูกต้นไม้ โครงการขุดลอกคูคลอง/ท่อ ฯลฯ”  

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ยังให้ข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณกลางในรัฐบาลก่อนหน้านี้อีกว่า ในปี 2565 รัฐบาลได้อนุมัติงบกลาง 2 พันล้านบาท ให้ “โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม เพื่อสร้างมูลค่าและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน” ตามที่นักการเมืองดังและอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีและที่ปรึกษารองนายกฯ ขอมา  

“งบก้อนนี้ถูกกระจายไปให้ 4 มหาวิทยาลัยในภาคอีสานทำโครงการวิจัยลักษณะเดียวกัน  ปัจจุบันผู้เกี่ยวข้องกับเงินก้อนนี้กำลังถูกดีเอสไอดำเนินคดีทุจริต..”

ขณะที่ “งบเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานเร่งเสนอโครงการด่วนมาก ทำให้นึกย้อนบทเรียนความเสียหายเมื่อครั้งโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการเราไม่ทิ้งกัน เพราะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่มีเวลาคิด จึงงัดเอาแฟ้มโครงการที่ไม่กล้าเสนอเข้าสภา และเป็นโครงการที่ถูกตัดทิ้งในการพิจารณางบประมาณประจำปี มาตัดแต่งแล้วยัดกลับมาใหม่ 

“พวกนี้มักเป็นโครงการฟุ่มเฟือย หละหลวม ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์คุ้มค่า หรือไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงาน” 

นอกจากนั้น ยังมีตัวอย่างโครงการที่นักวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ตั้งคำถามว่า กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงไหม ถึงมือประชาชนจริงหรือไม่ เช่น จังหวัดระยอง เสนองบ 50 ล้านบาทสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว ภายใต้ชื่อ “โครงการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สมเด็จพระเจ้าตากฯ” และอีกโครงการเป็นการติดตั้งเสาไฟบนถนนอ่างดอกราย งบ 5.7 ล้านบาท เป็นต้น 

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐในยามจำเป็น กรมบัญชีกลางมักออกมาตรการเร่งรัดการจัดซื้อฯ เช่น ลดเวลาการดำเนินขั้นตอนจัดซื้อฯ และผ่อนปรนเงื่อนไขการประกวดราคา แต่เจตนาดีเช่นนี้กลับทำให้พวกคนโกงมีข้ออ้างหลบเลี่ยงมากขึ้น

“ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า การใช้งบกลางมีเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเกิดคอร์รัปชัน แม้ว่าโครงการจะเข้าสู่ระบบตรวจสอบปรกติเมื่อเริ่มใช้เงินแล้ว แต่การประเมินผลว่าโปร่งใส คุ้มค่าเงินหรือไม่ ยังเป็นเรื่องยากตลอดมา เพราะอิทธิพลตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องและกระบวนการดำเนินการภายใต้ข้ออ้างว่าฉุกเฉินเร่งด่วน” 

ในตอนท้ายของบทความ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ได้เสนอทางออกร่วมกัน ไว้ว่า รัฐบาลจะต้องทำให้การอนุมัติและการดำเนินโครงการที่ใช้งบกลางมีเท่าที่จำเป็น ทุกขั้นตอนดำเนินการต้องเปิดเผยแบบทันทีและตรวจสอบย้อนหลังได้ เปิดให้สื่อมวลชนและประชาชนร่วมตรวจสอบได้โดยเสรี