หากย้อนมองกลับไปยังเหตุการณ์ “วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554” หนึ่งในภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เราอาจนึกถึงภาพประชาชนร่วมแรงร่วมใจกันกรอกกระสอบทราย เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัด ทหาร และอาสาสมัครลงพื้นที่โดยไม่รอคำสั่ง หน่วยงานภาคเอกชนเปิดโกดังเป็นศูนย์พักพิง ผู้คนไม่รู้จักกันต่างส่งอาหาร เวชภัณฑ์ และแม้กระทั่งคำปลอบโยนให้แก่กัน นั่นคือพลังแห่งความร่วมมือที่ทำให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติมาได้ในหลายๆเหตุผล
เหตุการณ์นั้นอาจต่างจากภัยเงียบที่กำลังเกิดขึ้นในแหล่งน้ำไทยเวลานี้ แต่แนวทางแก้ปัญหากลับคล้ายคลึงกัน เพราะ “ปลาหมอคางดำ” หรือ Blackchin Tilapia เป็นปัญหาที่ต้องร่วมด้วยช่วยกันแก้ไข ... ไม่ต่างกัน
ภารกิจบริหารจัดการปัญหาปลาหมอคางดำ ไม่อาจปล่อยให้เป็นหน้าที่ใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่จำเป็นต้องได้รับ “ความร่วมมือ” จากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เห็นภาครัฐ อย่าง “กรมประมง” ที่ไม่เคยนิ่งนอนใจ และออกมาเป็นผู้นำ ใช้มาตรการดำเนินการหลายข้อที่ส่งผลให้เห็นความชัดเจนในวันนี้ รวมถึงภาคเอกชนอย่าง “ซีพีเอฟ” ที่ร่วมมือช่วยเหลือเคียงข้างรัฐ เกษตรกร และหลายๆ ชุมชนอย่างต่อเนื่อง
จริงอยู่ว่าภาครัฐ ขับเคลื่อนด้วยงบประมาณ เมื่องบมา การจัดกิจกรรมจับและรับซื้อปลาก็เดินหน้า เมื่องบหมดกิจกรรมต่าง ๆ ก็สะดุด หากแต่การบริหารจัดการปัญหานี้กลับยังเดินหน้าต่อได้ในอีกหลายมิติ เมื่อมีความร่วมมือของหน่วยงานอื่น ๆ เข้ามา เช่น “การยางแห่งประเทศไทยและกรมราชทัณฑ์” หรือแม้แต่บางช่วงเวลา ที่มีร้านอาหารมากมาย รังสรรค์เมนูปลาหมอคางดำออกมา รวมถึงดารานักแสดงและประชาชนที่ได้ชิมและร่วมรีวิว ตอกย้ำว่าปลาชนิดนี้กินได้และอร่อยด้วย ช่วยลดปริมาณปลาได้ไม่น้อย
ล่าสุด กรมประมง ใช้งบประมาณออกมารับซื้อปลาหมอคางดำ 98 ล้านบาท ส่งผลให้ทุกจังหวัดที่พบปลาหมอคางดำระดมความร่วมมือจากประชาชน จากเกษตรกร ภายใต้การสนับสนุนกิจกรรมลงแขกลงคลองโดยเอกชนอย่างซีพีเอฟ ทำให้ยอดการรับซื้อสะสมตั้งแต่ 8-29 พ.ค.68 ได้ปลามาแล้วถึง 1,116,016 กิโลกรัม ขณะเดียวกันก็ร่วมกับเอกชนทำการปล่อยปลาผู้ล่า เช่น ปลากะพง ลงจัดการกับลูกปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่องอีกทางหนึ่งด้วย
พลังแห่งความร่วมมือไม่ได้หยุดเพียงแค่การ “จับ” ปลา หลายพื้นที่เริ่มเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจจากวิกฤตครั้งนี้ เช่น การแปรรูปเป็นน้ำหมักชีวภาพใช้ในการเกษตร และที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วคือ การผลิต "น้ำปลาหับเผย" น้ำปลาพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงเรื่องรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมเฉพาะตัว หลายๆ ชุมชนเริ่มวางแผนจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ทั้งตลาดท้องถิ่นและออนไลน์ ถือเป็นการเปลี่ยนปลารุกรานให้กลายเป็นรายได้ของชุมชนอย่างสร้างสรรค์ โดยมี 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี และสมุทรปราการ ที่จะทำให้น้ำปลา ภายใต้แบรนด์ “หับเผย” กลายเป็นของดีประจำถิ่นและประจำครัวของทุกคน
ทั้งหมดนี้สะท้อนบทเรียนร่วมกันว่า การแก้ไขปัญหาเชิงระบบไม่อาจเป็นภาระของหน่วยงานรัฐแต่เพียงผู้เดียว ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เพราะมีเอกชนร่วมลงขัน มีเกษตรกรให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง มีสื่อมวลชนช่วยกระจายข้อมูลข้อเท็จจริงและมีภาคประชาสังคมช่วยเฝ้าระวังพร้อมสนับสนุนส่งเสริมการนำไปใช้ประโยชน์
ตรงกันข้าม หากหน่วยงานใดเพิกเฉยหวังเพียงบทบาทของผู้อื่นขับเคลื่อนแก้ไข หรือยิ่งไปกว่านั้นกลับแสดงพฤติกรรม "มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ" ก็คงไม่มีคำใดอธิบายความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ดีกว่านี้
ปลาหมอคางดำอาจไม่ใช่ปัญหาเพียงตัวเดียวที่สังคมไทยต้องเผชิญ แต่พวกมันกำลังทำหน้าที่เตือนว่า ปัญหาใหญ่จะพ่ายแพ้ได้ก็ต่อเมื่อทุกคนหยุดมองว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน” และเริ่มลงมือร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องขอคารวะน้ำใจของผู้ลงแรงในภารกิจครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เกษตรกรในชุมชน พนักงานบริษัท ผู้บริหารนโยบาย หรือแม้แต่ผู้แชร์ข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ผ่านโซเชียลมีเดีย ท่านคือผู้เขียนประวัติศาสตร์แห่งความร่วมมือใหม่ ที่จะเป็นหมุดหมายให้อนาคตของทรัพยากรธรรมชาติไทยยั่งยืนยิ่งขึ้น
เพราะในวิกฤต ใครก็ลุกขึ้นได้ แต่จะผ่านพ้นไปได้ ต้องลุกขึ้นพร้อมกัน
โดย : อร่าม ทองพูล