ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับ การประชุม “เสวนาแชงกรี-ลา (Shangri-La Dialogue)” โดย “สถาบันการศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ” หรือ “ไอไอเอสเอส” (IISS : International Institute for Strategic Studies) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคมจนถึงวันที่ 1 มิถุนายนที่เพิ่งผ่านพ้นมา
กล่าวกันว่า การประชุมข้างต้น เป็นการประชุมสุดยอดว่าด้วยเรื่องความมั่นคงทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย เพราะการจัดประชุมที่มีขึ้นเป็นประจำทุกปีนั้น จัดขึ้นที่สิงคโปร์ ประเทศชั้นนำในหลายๆ ด้านของภูมิภาคเอเชียเรา เช่น เศรษฐกิจ และการศึกษา เป็นอาทิ
แม้ว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของไอไอเอสเอส อยู่ที่กรุงลอนดอน เมืงหลวงของอังกฤษก็ตาม ทว่า ทางสถาบันไอไอเอสเอส ก็เลือกเอาประเทศเล็กแห่งภูมิภาค “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ “อุษาคเนย์” เราแห่งนี้ เป็นสถานที่จัดงาน
ภายในงานก็มีเหล่าบรรดาคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศต่างๆ รวมถึงผู้นำประเทศทั้งหลาย ตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
ไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ หรือเพนตากอน อันเป็นกระทรวงกลาโหมของประเทศที่ได้ชื่อว่า มหาอำนาจทางการทหารเบอร์ต้นๆ ของโลกแห่งยุคนี้ ก็ยังต้องเข้าร่วมเป็นประจำ แทบจะขาดเสียมิได้
และในปีนี้ก็เป็นรายของ “นายพีท เฮกเซธ” เจ้ากระทรวงเพนตากอนคนปัจจุบัน ในยุคที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ครองทำเนียบขาว เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดดังกล่าวในครั้งนี้ด้วย
พร้อมกันนี้ นายเฮกเซธ ก็ถือโอกาสนี้ พบปะหารือแบบทวิภาคีกับ “นายเก็น นาคาทานิ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ประเทศพันธิมตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อทำความตกลงในฐานะชาติพันธมิตรใกล้ชิดระหว่างกันเหมือนเฉกเช่นที่เคยเป็นมา
โดยในครั้งนี้ ทั้งเจ้ากระทรวงกลาโหมทั้งของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ได้เห็นพ้องต้องกันที่จะเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์
วัตถุประสงค์ก็เพื่อร่วมกันตอบสนอง ตอบโต้ และต่อต้าน ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ ณ ปัจจุบันชั่วโมงนี้ ทวีเป็นภัยคุกคามเพิ่มขึ้น จนน่าเป็นกังวล
ถึงขนาดที่ล่าสุด เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งผ่านพ้นมานี้ ทางรัฐบาลญี่ปุ่น ภายใต้การนำของ “นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ” ได้ผ่านร่างกฎหมายว่าด้วย “การนำมาตรการป้องกันทางไซเบอร์เชิงรุก” มาใช้การกำราบปราบปรามภัยคุกคามทางไซเบอร์ แบบชนิดที่ว่า สามารถลุยกวาดล้างกับสิ่งที่คาดว่า จะเป็นภัยคุกคามล่วงหน้าได้เลย เรียกว่า สามารถดักถล่มล่วงหน้า ก่อนที่จะถูกโจมตีเกิดขึ้นจริงได้เลย
ส่วนผู้ที่จะมา “เป็นมือ เป็นไม้” ในการบุกปราบปรามกวาดล้างสิ่งที่จะมาเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ ในร่างกฎหมายฯ ก็กำหนดให้เป็นการสนธิกำลังของ “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ร่วมกับ “เจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันตนเอง” โดยเจ้าหน้าที่ทั้งสองหน่วยข้างต้น สามารถเข้าถึง “เซิร์ฟเวอร์ต้นทาง” ที่ต้องสงสัยว่า จะเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ในอนาคต
รวมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นเหล่านั้น สามารถลงมือทำลายสิ่งที่ต้องสงสัยว่า จะเป็นเซิร์ฟเวอร์มหาประลัยต้นทางดังกล่าวนั้นได้เลย โดยมีกฎหมายให้อำนาจรองรับในปฏิบัติการข้างต้น
สำหรับ ความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น เห็นพ้องต้องกันไปนั้น กล่าวกันว่า มุ่งไปที่ 3 ชาติ 3 ประเทศที่เป็นคู่ปรปักษ์หลักของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น เป็นสำคัญ อันได้แก่ รัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ
โดยมีรายงานว่า ที่ผ่านมาทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ถูกคุกคามทางไซเบอร์จากทั้ง 3 ประเทศนี้ หลายครั้งหลายคราด้วยกัน
นอกจากนี้ เป้าหมายที่ตกเป็นเป้าถล่มโจมตี ก็มีความสำคัญต่อประเทศอีกด้วย อาทิเช่น
พรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ที่ปรากฏว่า ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์จากรัสเซีย เข้ามาโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของทางพรรคฯ จนใช้งานาไม่ได้ไปชั่วคราว เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2024 (พ.ศ. 2567) หรือปลายปีที่แล้วนี้เอง
และที่ญี่ปุ่นอีกเช่นกัน ที่ปรากฏว่า เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก็ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์จากรัสเซีย เข้ามาเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของท่าเรือของเมืองนาโงยา จ.เออิชิ ซึ่งเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น พร้อมกันนั้น ทางกลุ่มแฮ็กเกอร์ ก็เรียกค่าไถ่จากท่าเรือเมืองนาโงยาด้วยจำนวนเงินถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกต่างหากด้วย
นอกจากรัสเซียแล้ว ก็ยังมีจีน ที่มีระดับกองทัพไซเบอร์ อันเป็นหน่วยงานของทางกองทัพหน่วยงานหนึ่ง ได้มีปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์แก่บริษัทต่างๆ ของญี่ปุ่นจำนวนถึง 200 แห่ง ถูกล้วงตับ ล้วงลับทางข้อมูลบริษัทไปอย่างหน้าตาเฉย ตามการเปิดเผยของทางการญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ส่วนเกาหลีเหนือ ก็ไม่น้อยหน้าและมีศักยภาพด้านการโจมตีทางไซเบอร์ไม่บันเบา เมื่อปรากฏว่า ได้เจาะระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของทางญี่ปุ่น จนสามารถขโมยเงินดิจิทัลบิตคอยน์ออกไปใช้อย่างเปรมอุรา
กล่าวกันว่า ญี่ปุ่นตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางไซเบอร์ต่อเกาหลีเหนือมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมกับความสูญเสียหากคิดเป็นมูลค่าก็ไม่น้อยกว่า 721 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 30 ของความเสียหายทั้งหมดที่ทั้งโลกตกเป็นเหยื่อการโจมตีทางไซเบอร์เลยทีเดียว
ขณะที่ สหรัฐฯ ก็เพิ่งถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์จีน โจมตีทางไซเบอร์ต่อระบบโครงสร้างพื้นฐาน หรืออินฟราสตรักเจอร์ที่สำคัญๆ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทางจีนก็ออกมายอมรับในปฏิบัติการนี้ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็ยังตกเป็นเป้าหมายโจมตีทางไซเบอร์จากเหล่าแฮ็กเกอร์จากรัสเซียและเกาหลีเหนือระดับกลุ่มหัวแถวอีกด้วยต่างหาก
ด้วยประการนี้ ทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น จึงจำต้องจับมือผลึกกำลังต้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวันๆ