ภายหลังศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่ง “เบรก” การใช้มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2568 โดยชี้ว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉิน
สถานการณ์กลับพลิกอีกครั้ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินล่าสุด อนุญาตให้ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีนำเข้าต่อได้ โดยให้เหตุผลว่า “อยู่ในขอบเขตของกฎหมายและเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ”
ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ชี้ว่า ประธานาธิบดีมี “อำนาจกว้างขวางในการตัดสินใจด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” หากสามารถเชื่อมโยงเหตุผลกับผลประโยชน์แห่งชาติ
นั่นเท่ากับว่าการประกาศภาษี 10%–30% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วโลก รวมถึงจีน เม็กซิโก และแคนาดา จึงกลับมามีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ
คำตัดสินนี้ไม่เพียงพลิกแนวโน้มทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมสู่ทั่วโลก โดยเฉพาะกับ ประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างประเทศไทย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีคือความผันผวนของตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโลจิสติกส์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯต้องกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์การค้า และพิจารณามาตรการตอบโต้
ความขัดแย้งทางการค้าจะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในระดับโลก
บริษัทข้ามชาติอาจปรับย้ายฐานผลิตจากประเทศเป้าหมายภาษี (เช่น จีน) ไปยังประเทศทางเลือกในอาเซียน มีโอกาสเกิดภาวะ “รีชัฟเฟิลห่วงโซ่” ซึ่งจะส่งผลทั้งในทางบวกและลบกับประเทศไทย
ไทยควรรับมืออย่างไร?
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯคือ “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ที่ไทยต้อง “เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นเชิงรุก” ทันที ด้วยแนวทางเหล่านี้
1) เตรียมแผนรับมือด้านภาษีและต้นทุน กระทรวงพาณิชย์ควรจัดทำ “บัญชีความเสี่ยง” สินค้าไทยที่อาจถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ สภาอุตสาหกรรมควรร่วมมือกับผู้ประกอบการ SMEs วางแผนปรับโครงสร้างต้นทุน เช่นใช้วัตถุดิบภายในประเทศ หันไปหาตลาดคู่ค้าใหม่
2)เตรียมรับมือกับค่าเงินที่อาจผันผวน เพราะการที่สหรัฐฯได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36-46% ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดสหรัฐฯลดลงอย่างมาก กลายเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
อีกทั้งความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีและการค้าใหม่ของสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ อาจทำให้ค่าเงินบาทผันผวนในระยะสั้น
3)เร่งสร้างพันธมิตรใหม่—กระจายตลาด เปิดเจรจา FTA เพิ่มเติม กับประเทศในเอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา เพื่อกระจายความเสี่ยง เสริมความสัมพันธ์เศรษฐกิจใน CPTPP, RCEP, และ IPEF เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการค้า
4)วางไทยเป็น “Hub การผลิตทดแทนจีน” เมื่อสหรัฐฯ อาจเลี่ยงสินค้าจีน ไทยควรเสนอแผนยุทธศาสตร์ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทอเมริกันที่ต้องการย้ายฐานผลิต ส่งเสริม EEC ให้เป็นศูนย์กลางอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์ไฟฟ้า, และ AI ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดสหรัฐฯ
5)เสริมความพร้อมภาคแรงงานและเทคโนโลยี พัฒนาแรงงานทักษะสูง รองรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการเคลื่อนย้ายฐานผลิต เร่งผลักดันดิจิทัลโลจิสติกส์ – ESG – Green Supply Chain ให้เป็นจุดขายในตลาดอเมริกา
พลิกกลับสู่เกมแข็ง – ไทยต้องพลิกตัวทัน
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ที่อนุญาตให้ทรัมป์เดินหน้ามาตรการภาษี คือสัญญาณว่าความแข็งกร้าวทางการค้ากำลังกลับมา พร้อมผลกระทบวงกว้าง
ประเทศไทยไม่อาจรอให้วิกฤตมาแล้วจึงตั้งรับ แต่ต้องวางแผน รับมือเชิงรุก เชื่อมพันธมิตร กระจายตลาด และเสริมความแข็งแกร่งภายใน เพื่อยืนหยัดในภูมิทัศน์การค้าโลกยุคใหม่ที่ผันผวนสูง
#ทรัมป์ภาษี #ศาลสหรัฐพลิกคำตัดสิน #การค้าระหว่างประเทศ #เศรษฐกิจโลก #ไทยสหรัฐ #FTAไทย #สงครามการค้า #นโยบายภาษี #ข่าวเศรษฐกิจ #DonaldTrump