ในประเทศที่การเมืองแทรกซึมอยู่ในทุกมิติของสังคม ไม่มีอะไรที่ “วิชาชีพ” จะอยู่นิ่งเฉยได้อย่างแท้จริง ล่าสุด ความขัดแย้งระหว่าง แพทยสภา กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ระเบิดขึ้นกลางวงการสาธารณสุข เมื่อมติของแพทยสภาที่เสนอให้ลงโทษแพทย์ผู้เกี่ยวข้องกับกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รอดนอนคุก ได้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจนานถึง 6 เดือน ถูกวีโตโดยตรงจากฝ่ายบริหาร

นี่ไม่ใช่แค่ประเด็นปกครองภายในองค์กร แต่คือ การปะทะกันระหว่างจริยธรรมของวิชาชีพกับอำนาจทางการเมือง ที่สะท้อนปัญหาลึกเชิงโครงสร้างของประเทศไทย

ทักษิณนอนยาวรพ.ตำรวจ กับคำถามที่สังคมไม่เคยได้คำตอบ

หลังจากที่นายทักษิณกลับไทยในปี 2566 และถูกศาลตัดสินให้รับโทษจำคุกหลายคดี แต่ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจทันที โดยไม่ได้ใช้ชีวิตในเรือนจำตามกระบวนการเหมือนนักโทษทั่วไป นานถึง 180 วัน โดยไม่มีการเปิดเผยโรค หรือเหตุผลด้านการแพทย์อย่างละเอียดต่อสาธารณะ

เป็นผลสังคมตั้งคำถามดังอื้ออึงว่า

ทักษิณได้รับสิทธิพิเศษหรือไม่?

ใครคือผู้มีบทบาทในการอนุมัติให้ออกจากเรือนจำ?

ทำไมการรักษาไม่สามารถทำในโรงพยาบาลเรือนจำได้?

แพทยสภาลุยสอบข้อเท็จจริง-เสนอให้ลงโทษแพทย์

ท่ามกลางแรงกดดันจากสาธารณชนและสื่อมวลชน แพทยสภาในฐานะองค์กรควบคุมมาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยพบว่าแพทย์บางรายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทักษิณมี “พฤติกรรมที่ขัดต่อหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณ” จึงมีมติให้ลงโทษทางวิชาชีพ

แต่แล้วทุกอย่างก็สะดุดลง เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ใช้อำนาจตามกฎหมาย "วีโต้มติแพทยสภา" โดยให้เหตุผลว่า “ข้อมูลยังไม่ชัดเจน และอาจละเมิดสิทธิของผู้ปฏิบัติหน้าที่”

แพทย์โต้กลับ: การเมืองล้วงลูก-ลบล้างจริยธรรม

ภายหลังการวีโต้มติดังกล่าว วงการแพทย์ทั้งในและนอกระบบสาธารณสุขต่างออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก

บางส่วนระบุว่า “นี่คือการดูหมิ่นจริยธรรมวิชาชีพ”

บางกลุ่มถึงขั้นเรียกร้องให้แพทยสภา “แยกตัวออกจากระบบราชการ” เพื่อรักษาความอิสระ

“การเมืองควรอยู่ห่างจากวิชาชีพ ไม่เช่นนั้นเราจะเหลืออะไรให้ประชาชนเชื่อถือ”ความเห็นจากอดีตกรรมการแพทยสภาท่านหนึ่ง

มุมมองจากฝ่ายการเมือง: การลงโทษต้องยึดหลักฐาน ไม่ใช่กระแสสังคม

กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่าการยับยั้งมติแพทยสภาไม่ได้มีเจตนาแทรกแซง แต่เป็นการ "ปกป้องกระบวนการยุติธรรมของแพทย์เอง" โดยเห็นว่าหากลงโทษโดยไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน อาจกระทบสิทธิของผู้ให้การรักษาและสร้างบรรยากาศหวาดกลัวในวงการแพทย์

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายดังกล่าวกลับไม่ได้คลายความสงสัยของประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่เชื่อว่า “มีเบื้องหลังทางการเมืองที่ลึกกว่าคำว่า ‘หลักฐานไม่ชัดเจน’”

โครงสร้างอำนาจที่ยังไม่เป็นอิสระ: จุดอ่อนขององค์กรวิชาชีพ

แม้แพทยสภาจะมีสถานะเป็นองค์กรวิชาชีพอิสระตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ กลับยังคงอยู่ภายใต้ การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทำให้รัฐมนตรีมีอำนาจเหนือมติสำคัญหลายกรณี

คำถามคือ

องค์กรวิชาชีพจะปกป้องจริยธรรมได้อย่างไร ถ้ายังอยู่ใต้โครงสร้างราชการ?

การตรวจสอบกันเองในวงการจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ หากผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับนักการเมือง?

เชื้อไฟขัดแย้ง “ในวงการแพทย์และการเมือง” ปะทุ

กรณีที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทันทีในหลายระดับ โดยในระยะสั้นที่เห็นทันทีคือ

1. ภาพลักษณ์ของรัฐบาล: เสื่อมถอยในหมู่ผู้เชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและความยุติธรรมที่เท่าเทียม

2. แรงกดดันจากภาคประชาชน: กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมหลายกลุ่มเริ่มเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์

3. ความเป็นเอกภาพของวิชาชีพแพทย์: ถูกสั่นคลอนจากความรู้สึกว่าการรักษามาตรฐานนั้นไม่มีความหมายหากรัฐไม่รับรอง

ส่วนผลกระทบระยะยาวเป็นเรื่องความศรัทธาในรัฐและระบบสาธารณสุข หากรัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างโปร่งใสและชัดเจน อาจนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจในระบบราชการสาธารณสุข และทำให้ภาพลักษณ์ของวิชาชีพแพทย์ถูก “ตั้งคำถาม” อย่างไม่ยุติธรรมตามไปด้วย

เมื่อจริยธรรมเป็นสนามรบใหม่ของอำนาจ

กรณี “แพทยสภาถูกวีโต้มติ” คืออีกหนึ่งภาพสะท้อนของความอ่อนแอในโครงสร้างประชาธิปไตยไทย ที่ยังไม่สามารถทำให้องค์กรอิสระปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริงได้

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของแพทย์ 1 คน หรือทักษิณ 1 คน

แต่คือ บททดสอบของรัฐไทย ว่าจะยืนอยู่บนหลัก “จริยธรรม” หรือ “อำนาจ”

 

#ทักษิณ #แพทยสภา #หมอชนการเมือง #วีโต้มติ #รมวสาธารณสุข #จริยธรรมแพทย์ #โรงพยาบาลตำรวจ #อภิสิทธิ์ชน #ข่าวการเมือง #การเมืองไทย