วันที่ 30 พ.ค.68 ที่อาคารอินเตอร์ลิงค์ ทาวเวอร์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษเครือเนชั่น วันนี้ (30 พ.ค.) ว่าในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทว่าเดิมที่เป็นงบประมาณในการแจกดิจิทัลวอลเล็ตนั้นเนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนงบประมาณในส่วนนี้จึงต้องเตรียมสำรองเงินไว้เพื่อที่จะอุดหนุนช่วยประชาชนที่จะรับผลกระทบไว้จำนวนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือการปรับเปลี่ยนงบประมาณเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งดีกว่าในช่วงนี้เพราะยังมีความไม่แน่นอนอยู่
เมื่อถามว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้นจะมีต่อหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่ายังจะต้องมี โดยรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นจะกลับมาทำนโยบายนี้
“นโยบายอะไรที่สัญญาไว้กับประชาชนต้องทำให้ได้ ทั้งเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ทำช้าทำเร็วแต่ต้องทำ เหมือนกับผมมีเจ้าหนี้อยู่ 100 บาท แต่วันนี้มีเงินอยู่ 10 บาทยังไงก็ต้องทยอยจ่ายให้ครบ” นายทักษิณ กล่าว
สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเรื่องที่รัฐบาลต้องทำคือเรื่องของการยกระดับราคาสินค้าเกษตร เพราะเรื่องนี้ถึงประชาชนโดยตรง โดยในเรื่องนี้รัฐบาลคงไม่สามารที่จะอุดหนุนประชาชนได้มากเหมือนในอดีต จะใช้เงินค้ำประกันอย่างเดียวไม่พอ เพราะรัฐมีหนี้สูง หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงมาก และหนี้ครัวเรือนก็สูงมาก รัฐบาลจึงต้องพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในส่วนของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงนั้นนายทักษิณ กล่าวว่าวันนี้สิ่งที่สำคัญคือทุกคนต้องเปลี่ยนวิธีการทำมาหากินใหม่ เนื่องจากว่ามีปัญหาการแข่งขันมาก มีสินค้าจากจีนทะลักเข้ามามากซึ่งทำให้กระทบกับหลายภาคส่วนแต่รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาในเรื่องนี้ วันนี้กำลังดูว่าสินค้าจากจีนที่มาไม่ถูกต้องก็กำลังเร่งแก้ไขเพราะมีการลักลอบการนำสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศมากเกินไปซึ่งเอสเอ็มอีของเราจะอยู่ไม่ได้
นายทักษิณกล่าวต่อว่าปัญหาเศรษฐกิจที่กังวลที่สุดตอนนี้คือเรื่องของหนี้ครัวเรือน ซึ่งตอนนี้มีการแก้ไขประมาณ 5 แสนราย จากทั้งหมดประมาณ 5 ล้านราย ซึ่งในส่วนที่มีการแก้ปัญหาได้ประมาณ 5 แสนรายภายในปีนี้ ซึ่งก็จะทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเบาบาง ประชาชนก็สามารถปรับตัวได้
ส่วนข้อเสนอของ สส.ในสภาในการล้างหนี้ให้คนจนนั้นคงไม่ได้ทำแบบนั้น แต่จะใช้เงินจากกองทุนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และกลไกจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการแก้ปัญหาหนี้ให้กับประชาชน แต่ไม่ใช่การล้างหนี้ให้กับประชาชนเลยเพราะจะเป็นปัญหาทางศีลธรรม (Moral Hazard) ได้