คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย

แทบจะไม่น่าเชื่อเลยที่ขณะนี้ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กำลังตั้งหน้าตั้งตาเปิดศึกต่อกรกับ “ฮาร์วาร์ด” มหาวิทยาลัยเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีนักศึกษานานาชาติศึกษาอยู่ถึง 31% ด้วยกัน

และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกคำสั่งเปิดทางให้ “รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิคริสตี โนเอม” ยื่นคำขาดให้ฮาร์วาร์ด ส่งรายชื่อนักศึกษาที่มาจากนานาประเทศมอบให้แก่รัฐบาล

อีกทั้งรัฐมนตรีโนเอมยังแสดงเจตน์จำนงต้องการข้อมูลต่างๆ ที่รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆของนักศึกษานานาชาติทุกๆคน ตลอดจนเธอยังต้องการที่จะให้ฮาร์วาร์ดส่งข้อมูลในทำนองที่ว่า ขณะนี้นักศึกษานานาชาติแต่ละคนกำลังเรียนวิชาอะไรกันบ้าง!!!

และในวันเดียวกันนี้ รัฐมนตรีโนเอมยังตัดสิทธิ์เพิกถอนวีซ่าของนักศึกษานานาชาติที่กำลังศึกษาอยู่ ณ ฮาร์วาร์ด ไปแล้วเกือบ 7,000 คน ให้พวกเขาไม่สามารถรับสิทธิ์ที่จะลงทะเบียนเรียนได้อีกต่อไป

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะนี้สร้างความประหลาดใจให้กับมหาวิทยาลัยทุกๆแห่งในสหรัฐฯ และยังมีผลทำให้นักศึกษานานาชาติต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อวิตกกังวลกันว่า พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เรียนต่อและอาจจะถูกส่งกลับประเทศแบบมือเปล่าเรียนยังไม่ทันจบ

ในเวลาเดียวกันมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็มิได้อยู่เฉยนิ่งนอนใจ โดยได้ทำการยื่นฟ้องรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ในทันทีทันใด ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ออกมากล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของนักศึกษาในการแสดงออก ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องมาจากนักศึกษาของฮาร์วาร์ดและนักศึกษาสหรัฐฯตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศไม่เห็นด้วยกับนโยบายของสหรัฐฯที่ออกมาประกาศสนับสนุนให้อิสราเอลเปิดสงครามกับปาเลสไสตน์ โดยบรรดานักศึกษาเหล่านี้ได้พากันรวมตัวเดินขบวนประท้วง”

โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมาแก้ต่างในเรื่องนี้ทำนองที่ว่า การที่นักศึกษาเหล่านี้ออกมาประท้วง ก็เพราะมีอคติกับนักศึกษาชาวยิวต่างหาก และดูเหมือนว่าขณะนี้ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เพิ่มทวีออกไปในวงกว้าง ที่อาจจะขยายต่อไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกด้วย

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2025 ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เขียนข้อความโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียของเขา โดยเขาได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จัดส่งรายชื่อของนักศึกษานานาชาติพร้อมกับรายงานด้วยว่านักศึกษาเหล่านั้นเดินทางมาจากประเทศใด โดยเขาให้เหตุผลว่า ข้อเรียกร้องของเขาสมเหตุสมผล สืบเนื่องมาจากรัฐบาลสหรัฐฯมอบทุนให้เงินแก่ฮาร์วาร์ดไปแล้วเป็นจำนวนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ แต่เพราะเหตุใดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจึงมิยอมตอบสนองการเรียกร้องของรัฐบาล

อย่างไรก็ตามวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2025 ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯที่เป็นเจ้าของคดีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างฮาร์วาร์ดกับประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมารับฟังข้อโต้แย้งของแต่ละฝ่าย ที่อาจจะมีผลทำให้ความขัดแย้งในครั้งครานี้สามารถคลี่คลายได้

สำหรับความคิดเห็นของ “อธิการบดีเวนดี เฮนแซล”  แห่ง “มหาวิทยาลัยฮาวาย” ที่มีที่ตั้งอยู่ไกลจากฮาร์วาร์ดถึง 5,000 ไมล์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ฮาร์วาร์ด กำลังส่งผลกระทบไปยังมหาวิทยาลัยทั่วทั้งสหรัฐฯแล้ว”

สำหรับเหตุผลที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาบีบบังคับให้ฮาร์วาร์ด เช่นนี้ ก็อาจจะต้องการเอาฮาร์วาร์ดเป็นตัวอย่าง โดยเขาอาจต้องการที่จะเข้าไปครอบงำระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็อาจต้องการที่จะให้มหาวิทยาลัยต่างๆของสหรัฐฯหยุดให้บริการต่อนักศึกษานานาชาติก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน!!!

จากสถิติของรัฐบาลสหรัฐฯเปิดเผยออกมาว่า ขณะนี้จำนวนนักศึกษานานาชาติที่เข้าไปศึกษาในสหรัฐฯมีจำนวนเกือบเก้าแสนคน ซึ่งเป็นนักศึกษาอินเดีย 30% และเป็นนักศึกษาจีน 25%

นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลสหรัฐฯยังเปิดเผยต่อไปอีกว่า บรรดามหาวิทยาลัยต่างๆของสหรัฐฯทำรายได้ปีละกว่า 43 พันล้านดอลลาร์ จากค่าเล่าเรียนและค่าโสหุ้ยต่างๆที่ล้วนมาจากนักศึกษานานาชาตินั่นเอง

แม้ว่าขณะนี้ฮาร์วาร์ด กำลังตกเป็นเหยื่อในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดปรากฏขึ้นมาก่อนเลย ในการที่รัฐบาลกลางออกมาแสดงท่าทีเป็นศัตรูกับมหาวิทยาลัยที่เคยปกครองตนเองมาอย่างอิสระในรอบหลายร้อยปี

ทั้งนี้วิกฤติความขัดแย้งดังกล่าว ย่อมมีผลทำให้บรรดาสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯต้องคิดหนักว่า จะทำอย่างไร?

“ศาสตราจารย์สตีเฟน เยล-โลเออร์”  สาขากฎหมาย จาก “มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์”(แต่ท่านเกษียณอายุไปแล้ว) ได้ออกมากล่าวกับ “นิตยสารนิวส์วีค” ว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าฮาร์วาร์ดสามารถจะชนะคดีทั้งในแง่ขั้นตอน และในแง่เนื้อหาสาระ”

ทั้งนี้การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาเปิดศึกกับสถาบันการศึกษาเก่าแก่ชื่อดังเยี่ยงฮาร์วาร์ด จนกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่โตในขณะนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะชั่งน้ำหนักทบทวนดูแล้วว่า หากความขัดแย้งนี้ถูกส่งไปยังศาลสูงสุด เขามีหวังที่จะชนะ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากผู้พิพากษาศาลสูงสุดทั้งเก้าท่าน มีผู้พิพากษาถึง 3 ท่านที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมา และยังมีผู้พิพากษาที่เป็นพันธมิตรอันดีของเขาอีก 2 ท่าน นั่นก็คือ “ผู้พิพากษาคลาเรนซ์  โธมัส”และ “ผู้พิพากษาซามูเอล อัลลิโต”

แต่ในศาลสูงสุดก็มีศิษย์เก่าที่มาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึง 4 ท่าน แถม “ประธานศาลสูงสุดจอห์น โรเบิร์ตส์” ก็ยังเป็นศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดอีกด้วย แต่กระนั้นก็ตามยังถือว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปรียบอยู่ดี เพราะฝ่ายที่เป็นศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดมีเพียงแค่ 4 ท่าน ที่ถือเป็นเสียงข้างน้อยอยู่ดี!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นในเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่อยู่นี้มองๆไปแล้ว เห็นได้ว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ยังคงเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่ดี โดยเขาอาจจะหยิบยกเอาข้ออ้างในทำนองที่ว่าเหตุผลที่รัฐบาลต้องการข้อมูลทั้งหมดของนักศึกษานานาชาติ ก็เพื่อต้องการที่จะปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ แต่ทั้งหมดทั้งมวลหากวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2025 ผู้พิพากษาศาลกลางสหรัฐฯไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้ คดีนี้ก็อาจจะกลายเป็นซีรีย์มหากาพย์ม้วนยาว “เรื่องรัฐบาลเปิดศึกสู้รบกับสถาบันการศึกษา”ครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยละครับ