วันที่ 30 พ.ค.2568 ที่รัฐสภา นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ระบบทหารเกณฑ์ไทยควรได้รับการปรับเปลี่ยนจากการเป็นเพียงกลไกด้านความมั่นคงในเชิงยุทธศาสตร์ ให้กลายเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ (Social Investment) ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชายหนุ่มจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย ซึ่งมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ารับราชการในระบบเกณฑ์ ซึ่งข้อมูลในช่วงปี พ.ศ. 2564–2567 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สมัครใจเข้ารับราชการทหารกองประจำการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 28,572 คนในปี 2564 เป็น 38,160 คนในปี 2567 ขณะที่จำนวนที่กองทัพต้องการลดลงจาก 105,000 คน เหลือเพียง 85,000 คน สะท้อนแนวโน้มการปรับลดขนาดกองทัพควบคู่กับการส่งเสริมระบบสมัครใจ ทั้งนี้ ปี 2564 เป็นปีที่ยังอยู่ภายใต้ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ตลาดแรงงานหดตัวและโอกาสทางอาชีพของคนรุ่นใหม่จำกัด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนหันมาสมัครเข้ารับราชการทหารมากขึ้นในฐานะทางเลือกที่ให้รายได้ ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ต่อเนื่องถึงปี 2567 ก็อาจมีผลให้แนวโน้มนี้ดำรงอยู่เช่นเดิม โดยในปี 2567 จำนวนผู้สมัครใจเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 และเพิ่มขึ้นกว่า 33.5% เมื่อเทียบกับปี 2564

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงกลาโหมควรจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงความเสมอภาคทางเพศ (Gender Responsive Budgeting: GRB) ควบคู่กับ Social Investment ซึ่งจะส่งผลดีในหลายมิติ โดยเฉพาะต่อ “ทหารเกณฑ์” ที่จะได้รับการพัฒนาทักษะวิชาชีพระหว่างรับราชการ ทำให้หลังปลดประจำการมีศักยภาพในการเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการตกงานหรือวนกลับเข้าสู่ความยากจน ประเทศจะได้แรงงานที่มีคุณภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้งบซ้ำซ้อนในระบบฝึกอาชีพ และสามารถลดต้นทุนทางสังคมในระยะยาว เช่น อัตราว่างงาน อาชญากรรม หรือภาระรัฐสวัสดิการ ขณะเดียวกัน กองทัพเองก็จะมีภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะ “กลไกพัฒนาคน” ไม่ใช่เพียงสถาบันความมั่นคงเชิงอาวุธ ซึ่งจะเสริมความไว้วางใจจากสังคมและเปิดประตูสู่ความร่วมมือพลเรือน-ทหารในระยะยาว

“การเปลี่ยนงบประมาณในระบบทหารเกณฑ์ ซึ่งมีต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการดึงชายหนุ่มกว่า 85,000 คนออกจากตลาดแรงงานถึง 2 ปี คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 40,800 ล้านบาท ให้กลายเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ผ่านการฝึกอาชีพอย่างแท้จริง จะไม่ใช่แค่การสร้างรายได้ใหม่ แต่คือการปลดล็อคศักยภาพของคนที่ถูกระบบกีดกันออกจากโอกาสทางเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน มูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้กลับคืนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของอดีตทหารเกณฑ์จะสูงถึง 51,000 ล้านบาทใน 10 ปี หรือคิดเป็นผลตอบแทน 125% ของต้นทุน และหากรวมมูลค่าทางสังคมจากการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาชีพของชายหนุ่มจากครอบครัวยากจน มูลค่าผลตอบแทนรวมจะเพิ่มเป็นกว่า 81,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 200% ของงบที่ลงทุนไป การลงทุนนี้จึงไม่ได้คืนทุนแค่ในเชิงบัญชี แต่คือการคืนศักดิ์ศรี คืนทุนชีวิต และคืนโอกาสให้กับผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่ถูกใช้ในนามของชาติ โดยไม่มีการพัฒนาใดตอบแทนเลยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา” นายธัญวัจน์กล่าว

นายธัญวัจน์ กล่าวอีกว่า ขอยกตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น อิสราเอลและฟินแลนด์ ที่สามารถใช้ระบบทหารเกณฑ์เพื่อสร้างทักษะด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม และวิชาชีพต่าง ๆ จนกองทัพกลายเป็นโรงเรียนของทุนมนุษย์ได้ หากมีวิสัยทัศน์ที่มองไกลกว่าเพียงเครื่องแบบและคำสั่ง ดังนั้นการเปลี่ยนระบบทหารเกณฑ์ให้เป็นการลงทุนในคน ไม่ใช่การต่อต้านกองทัพ แต่คือการชวนให้กองทัพก้าวไปพร้อมกับประชาชน และชายหนุ่มจากครอบครัวยากจนก็จะมีโอกาสตั้งตัว สร้างอนาคต และมีครอบครัวของตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี