ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

คนไทยนั้นรักพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เป็นแค่สัญลักษณ์ของความจงรักภักดี แต่เป็น “จิตวิญญาณ” ของผู้คน และ “แกนหลัก” ค้ำจุนบ้านเมือง

รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 ถือกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมาก ๆ เป็นฉบับแรกของไทย (ความเป็นประชาธิปไตยวัดจากสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ โดยเทียบเคียงกับประเทศที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยที่มั่นคงแล้ว ตามตำรารัฐศาสตร์จะใช้ของ 3 ประเทศคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา) ประธานผู้ยกร่างก็คือ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งสำเร็จกฎหมายจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเอกอัครราชทูตไทย ที่กรุงวอชองตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงจึงได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภายุคนั้นให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงได้รับมอบหมายให้ดูแลการยกร่างรัฐธรรมนูญ จึงน่าจะได้นำต้นแบบประชาธิปไตยทั้งของอังกฤษและสหรัฐอเมริกามาประกอบการยกร่าง

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นน้องชายของท่านอาจารย์เสนีย์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 ว่า น่าจะเป็นความหวังของประเทศไทยในทางการเมืองได้พอสมควร เพราะจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้กับคณะราษฎร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 (ซึ่งทางราชการของไทยก็ยังคงเรียกวันที่ 10 ธันวาคม ว่าเป็น “วันรัฐธรรมนูญ” มาจนถึงปัจจุบัน) มีแต่ที่จะเพิ่มพูนอำนาจให้กับคณะราษฎร โดยมีการแก้ไขมาถึง 2 ครั้งเพื่อ “กระชับอำนาจ” ดังกล่าว โดยเฉพาะในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นมามีอำนาจตั้งแต่ พ.ศ. 2481 และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ได้มีการระงับใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา รวมถึงที่มีการปกครองแบบเผด็จการมาโดยตลอดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ดังนั้นเมื่อจอมพล ป.สิ้นสุดอำนาจลงในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็เหมือน “ฟ้าเปิด” แต่นั่นก็นำมาซึ่งความวุ่นวายทางการเมืองในเวลาต่อมา ซึ่งไม่ได้เกิดจากการเปิดกว้างทางเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 มีไว้ให้เท่านั้น แต่เป็นด้วย “นิสัย” ของคนไทยนั่นแหละ ที่ชอบใช้เสรีภาพเกินขอบเขต และยิ่งได้มาเป็นนักการเมือง การใช้เสรีภาพนั้นก็ออกมาในทาง “โอเว่อร์” หรือเกินเลยค่อนข้างมาก (ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เปรียบเทียบว่า เหมือนกับเหตุการณ์ภายหลังวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ที่นิสิตนักศึกษามีการแสดงออกซึ่งเสรีภาพกันอย่างวุ่นวาย แต่ใน พ.ศ. 2489 เป็นพวก ส.ส.ที่สร้างความวุ่นวายขึ้นในสภา)

การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีขึ้นในวันที่ 6 มกราคม 2489 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาด้วยคนหนึ่ง โดยชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนราษฎรในเขต 3 ของจังหวัดพระนคร (ชื่อเดิมของกรุงเทพฯ) ซึ่งในสภาครั้งนั้นมี ส.ส.ทั้งสิ้น 96 คน โดยเสียงข้างมากสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นได้ไม่นาน เพราะต่อมาในวันที่ 9 มิถุนายน 2490 ก็เกิดเหตุการณ์การสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 โดยฝ่ายค้านที่นำโดยนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอเป็นญัตติด่วนให้รัฐบาลรับผิดชอบ จนนายปรีดีต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้น ส.ส.ฝ่ายค้านมีการอภิปรายกันอย่างดุเดือด โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ร่วมอภิปรายกับฝ่ายค้านด้วยคนหนึ่ง ในฐานะเลขาธิการของพรรคประชาธิปัตย์ กระนั้นก็ล้มรัฐบาลไม่ได้ โดยฝ่ายรัฐบาลได้เลือกให้หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายปรีดี แต่รัฐสภาก็วุ่นวายอยู่โดยตลอด เพราะยังไม่สามารถแก้ปัญหาไขคดีในกรณีสวรรคตนั้นได้ จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ทหารก็ทำการยึดอำนาจ นายปรีดีต้องหนีออกนอกประเทศ

หัวหน้าคณะรัฐประหารคือพลโทผิน ชุณหะวัณ (ต่อมาได้รับยศเป็นจอมพล เป็นบิดาของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยใน พ.ศ. 2531 - 2534) ซึ่งเป็นเพื่อนของจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงเชื่อกันว่าการรัฐประหารครั้งนั้นเป็นการบงการโดยจอมพล ป.เพื่อกลับคืนสู่อำนาจ อย่างไรก็ตามภายหลังที่พลโทผินยึดอำนาจได้แล้ว คณะรัฐประหารก็ได้ให้นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นัยว่าเป็นการ “แก้ขวย” คือขัดตาทัพ เพื่อรอจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะให้จอมพล ป.กลับคืนสู่ตำแหน่ง นั่นก็คือพอนายควงและรัฐบาลของเขาบริหารประเทศได้เพียง 4 เดือน วันหนึ่งก็มีนายทหาร 4 คนบุกไปที่บ้านของนายควง แล้ว(ตามข่าวที่สื่อมวลชนสมัยนั้นนำเสนอ)ก็ใช้ “ปืนจี้” ให้นายควงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายควงก็ยินยอมโดยดี และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีประกาศแต่งตั้งให้จอมพล ป.ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบแทน แต่กระนั้นก็ยังให้คนในพรรคประชาธิปัตย์บางคน รวมถึงท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลใหม่ของทหาร นัยว่าเพื่อป้องกันแรงเสียดทานจากกระแสประชาธิปไตยที่รุนแรงในสมัยนั้น แต่น่าจะมีกระแสของความรักและเทิดทูนในองค์พระมหากษัตริย์นั้นอยู่ด้วย

นักประวัติศาสตร์บางท่านพูดถึงประเทศไทยในช่วงที่เกิดกรณีสวรรคตและการรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 ว่า กระแสความรู้สึกของคนไทยในการพิทักษ์เทิดทูนพระมหากษัตริย์มีความรุนแรงมาก ทั้งนี้น่าจะเป็นกระแสที่เกิดขึ้นและสะสมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่คณะราษฎรได้เข้ายึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั่นเอง นักประวัติศาสตร์ท่านนี้(ขออภัยที่จำชื่อท่านไม่ได้ เพราะผู้เขียนไม่มั่นใจว่าเป็นนักประวัติศาสตร์คนใดในจำนวน 2 - 3 ที่เคยมาร่วมวิจารณ์วรรณกรรมเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ที่จัดขึ้นในช่วงที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว)ได้เชื่อมโยงให้เห็นว่า ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คนส่วนมากคงตกใจและเศร้าเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ก็แสดงออกหรือขัดขืนอะไรไม่ได้ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสัมผัสถึงกระแสความรู้สึกเหล่านั้นของคนไทยได้ ทรงได้แสดงความยืนหยัดต่อสู้กับคณะราษฎรอย่างกล้าหาญ ที่สุดคือการโต้แย้งเรื่อง “สมุดปกเหลือง” หรือเค้าโครงเศรษฐกิจของคณะราษฎร ที่นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่างและเสนอต่อรัฐสภา ว่าเป็นโครงการแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เพราะโครงการนี้ได้ระงับไปในเวลาต่อมา ต่อมาแม้เมื่อพระองค์ท่านได้เสด็จไปรักษาพระองค์เกี่ยวกับโรคพระหทัยที่ประเทศอังกฤษ พระองค์ท่านก็ยังทรงมีพระราชวิจารณ์และพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำของรัฐบาลอยู่ในตลอดเวลา จนถึงที่สุดเมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าคณะราษฎรนั้นไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว พระองค์ท่านก็ทรงประกาศสละราชสมบัติ ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477

การสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 ในครั้งนั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคณะราษฎรอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นพลังของประชาชนในวันที่พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติคืนสู่ประเทศไทย เพื่อขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อ ที่มีจำนวนผู้คนไปรับเสด็จอย่างมหาศาล แบบที่เรียกกันว่า “มืดฟ้ามัวดิน” รวมถึงที่เมื่อเสด็จฯไปทรงพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ก็มีประชาชนไปรับเสด็จและ “ชื่นชมพระบารมี” อย่างแน่นขนัด ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ประหลาดใจที่เมื่อเกิดกรณีสวรรคต พลังอันเกิดจาก “ความรักและเทิดทูน” นี้ก็ยิ่งระเบิดออกมา พร้อมกับที่ฝ่ายค้านในสภาก็จับกระแสความรู้สึกนี้ได้เช่นกัน ก็ได้ร่วมกระหน่ำรัฐบาลที่มีภาพของความเป็นคณะราษฎร ที่ประชาชนจำนวนมากเชื่อว่าเป็นศัตรูกับพระมหากษัตริย์ นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ของรัฐบาล และต้องโดนรัฐประหารให้ลงจากตำแหน่งไปในที่สุด

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการสร้างกระแส “เกลียดชังคณะราษฎรและนายปรีดี” ในครั้งนั้น แต่ถ้ามองจากมุมมองของนักประวัติศาสตร์ผู้นี้ก็น่าจะพอมองเห็นว่า กระแสความเกลียดชังดังกล่าวมีมาก่อนที่จะเกิดกรณีรัชกาลที่ 8 สวรรคต เพราะคนไทยกับพระมหากษัตริย์นั้นยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอมา การทำลายพระมหากษัตริย์ทั้งการลดพระราชฐานะของพระองค์ในวันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 จึงเป็นจุดเริ่มของ “การจุดชนวนระเบิด” และเมื่อมาเกิดเหตุที่ประชาชนเชื่อว่ามีการฆาตกรรมเพื่อปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ในวันที่ 9 มิถุนายน 2490 จึงการเป็น “การระเบิดออกมา” ของพลังความเกลียดชังคณะราษฎรนั้นนั่นเอง

ในอีกแง่หนึ่ง กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ในครั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อคณะราษฎรอย่างเต็ม ๆ แต่ยังส่งผลต่อการเมืองและสังคมไทยในระยะเวลาต่อมาอย่าง “หน้ามือเป็นหลังมือ” อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของทหารต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และการฟื้นฟู “จิตวิญญาณแห่งความรักและเทิดทูน” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กลับคืนมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม

 

ขอบคุณภาพจาก https://www.thaigov.go.th/