วันที่ 30 พ.ค.68 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า...
เมื่อ 29 พ.ค. 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยเชื่อว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาได้วีโต้มติลงโทษจริยธรรมเท่ากับเรียกแขกทั้งหมอและประชาชนลุกฮือปกป้องเกียรติภูมิแพทย์ครั้งสำคัญ
“นายสมศักดิ์ วีโต้มติแพทยสภายิ่งทำให้กระแสแพทย์อาวุโสและแพทย์ที่รักเกียรติภูมิ รวมทั้งประชาชนจะแสดงเจตนาคัดค้านการวีโต้ของ รมว.สาธารณสุข โดยจะเรียกร้องให้แพทยสภาใช้เสียง 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิมในการประชุมวันที่ 12 มิ.ย. นี้”
อีกทั้งกล่าวว่า สิ่งสำคัญกลุ่มแพทย์เป็นเครือข่ายไม่เอาบ่อนกาสิโน ดังนั้น การเรียกร้องรักษาเกียาติภูมิของแพทยสภาจะเป็นกระแสร้อนแรงขึ้นแล้วลามไปคัดค้านบ่อนกาสิโน และอาจส่งผลลัพธ์ให้การประชุมวันที่ 12 มิ.ย.ที่ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 หรือจำนวน 47 คนจาก 70 คน แล้วยังต่อเนื่องไปถึงวันที่ 13 มิ.ย.ที่ศาลฎีกานักการเมืองนัดพร้อมหรือไต่สวนได้บังคับตามหมายจำคุกทักษิณ ชินวัตร หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เสียงวีโต้ของ รมว.สาธารณสุข จะไม่มีผลต่อศาลฎีกานักการเมืองนัดพร้อมในวันที่ 13 มิ.ย. เพราะศาลคงพิจารณาจากข้อเท็จจริงกรณีทักษิณ พักชั้น 14 รพ.ตำรวจมากกว่า อีกทั้งถ้าเสียงแพทยสภาไม่ถึง 2 ใน 3 แล้ว ยังสามารถประชุมลงมติพิจารณาลงโทษจริยธรรมแพทย์ครั้งใหม่ได้อยู่ดี
นอกจากนี้ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย , สมชาย แสวงการ อดีต สว. , นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา ได้ยื่นหลักฐานต่อศาลฎีกานักการเมือง โดยหลักฐานที่น่าสนใจคือ ใบเสร็จ จ่ายค่าห้องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจ
"ใบเสร็จที่ชำระเงินทุกสัปดาห์นั้น เกินกว่า 90% เป็นการจ่ายค่าห้อง ค่าอาหาร ค่านวดทำกายภาพบำบัด ส่วนจ่ายค่ารักษามีเพียงขี้เล็บ ดังนั้น หลักฐานทุกอย่างจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะเวชระเบียนต้องตรงกับค่ารักษาตามใบเสร็จ ถ้าไม่ตรงกันยิ่งจะกลายเป็นปัญหา หรือจะแต่งเรื่องใหม่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ แล้ว"
นายจตุพร กล่าวว่า ข้อเท็จจริงต่างๆ ตามกฎหมาย ทั้งใบเสร็จ ประจักษ์พยาน ย่อมอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมีรายละเอียดครบถ้วนต่อการพิจารณาของศาลฎีกานักการเมืองในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยใครจะเปลี่ยนแปลงหรือเล่นแร่แปรธาตุเป็นอย่างอื่น คงไม่มีผลอะไรทังสิ้น
ส่วนทักษิณ จะไปนัดพร้อมหรือไต่สวนตามหมายเรียกของศาลฎีกานักการเมืองในวันที่ 13 มิ.ย.หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ศาลเรียกทักษิณในสถานะจำเลยคดีทุจริต ซึ่งลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี และเรียกอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในฐานะโจทก์ รวมถึงหน่วยงานทั้งกรมราชทัณฑ์ รพ.ตำรวจ และ รพ.ราชทัณฑ์ ให้ทำคำชี้แจงยื่นต่อศาลภายในวันที่ 30 พ.ค.นี้ แล้วนัดพร้อมหรือไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.
"คำว่านัดพร้อมคือพาโจทก์และจำเลยกลับมาสู่สถานะเดิม ดังนั้น ทั้งโจทก์และจำเลยต้องไปศาลฎีกาฯ เพราะอาจมีการไต่สวนในวันเดียวกันได้ ดังนั้น โจทก์และจำเลยจะไม่ไปศาลได้เหรอ อย่างไรก็ตาม ทักษิณ ตอบเรื่องนี้ไม่ชัดเจนโดยบอกจะตัดสินใจในเที่ยงคืนวันที่ 12 มิ.ย."
อีกทั้งกล่าวว่า ถ้าศาลเห็นว่า มีการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ทักษิณต้องทำใจกลับสู่สถานะเดิมคือ ถูกคุมขังในเรือนจำ ถ้าทักษิณไม่ไปศาลต้องถูกหมายจับ แล้วศาลจะนัดใหม่อีกครั้งก็เป็นไปได้ ดังนั้น ผลการไต่สวนจึงเป็นยิ่งกว่าศาลาวัดใจเสียอีก ส่วนบุคคลอื่นย่อมเข้าข่ายเป็นผู้ละเมิดอำนาจศาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งทั้งหมดอะไรก็เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากทักษิณ คิดว่า ไม่ได้ทำผิดก็ควรไปนัดพร้อมหรือไต่สวนตามที่ศาลฎีกานักการเมืองมีหมายเรียกไปติดหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า แต่ที่ผ่านมาทักษิณ กลับพยายามอ้างพระบรมราชโองการลดโทษเพียงข้อความประโยคเดียวที่ระบุให้ใช้ความรู้ความสามารถมาทำงานรับใช้บ้านเมือง แล้วหลบเลี่ยงไม่ระบุถึงโทษจำคุก 1 ปีเลย
นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้เสถียรภาพรัฐบาลง่อนแง่นคลอนแคลนอย่างยิ่ง เพราะถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาทั้งภายนอกประเทศและในประเทศ สิ่งสำคัญรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ แม้ชะลอแจกเงินหมื่นในโครงการดิจิทัลวอลเลต แต่การรวมงบประมาณ 1.57 แสนล้านไปแบ่งแจกกันตามโครงการสร้างงานอื่นๆ ยิ่งเกิดเสียงครหาตามมามากมายว่า เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ส่วนการเปลี่ยนแปลงพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ก่อน 13 มิ.ย.นี้ จะปรับพรรคภูมิใจไทยออกจาก ค.ร.ม. หรือไม่ โดยมีชะตากรรมของทักษิณจะหนีคุกหรือไม่หนีเป็นตัวเร่งสถานการณ์ของรัฐบาล
"ถ้าทักษิณ หนี คนมีหน้าที่ตามจับตัวคือนายกฯ ที่เป็นลูกสาวต้องสั่ง ผบ.ตร. แล้วลูกสั่งจับพ่อจะทำใจได้หรือไม่ อีกทั้งนายกฯ ต้องรับผิดชอบสั่งกระทรวงการคลังออกคำสั่งใหม่ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดให้ชดใช้เงินคืนรัฐ 10,028 ล้านบาทที่เป็นความเสียหายจากการระบายข้าวจีทูจีในโครงการจำนำข้าวสมัยอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์นายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร จึงมาถึงการตัดสินใจอาจต้องมีคำสั่งจับพ่อและบังคับโทษกับอดีตนายกฯยิ่งลักษิณ ซึ่งเป็นอา ดังนั้น รัฐบาลคงไปต่อได้ยาก ยิ่งเศรษฐกิจของประเทศล้มระเนระเนด แล้วปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสู้รบตามชายแดนพม่ากับกัมพูชาปะทุขึ้นมาซ้ำเติมอีก
ดีงนั้น ประเทศไทยเต็มไปด้วยวิกฤตภายในประเทศแทบทุกด้าน ราคาพืชผลผลิตการเกษตรตกต่ำทุกชนิด หลากหลายปัญหาจึงประเดประดังมารุมล้อม แต่การทำงานของรัฐบาลแทบหาความสำเร็จไม่ได้ ขณะที่นายกฯ และผู้กำกับการแสดงเบื้องหลังไร้วิสัยทัศน์แก้ปัญหาของประเทศ โดยเน้นแต่ปราบยาเสพติด ซึ่งเป็นหน้าที่ปกติของรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว
นอกจากนี้ อุปสรรคขวากหนามใหญ่ที่รัฐบาลต้องเผชิญหน้า คือ การถูกร้องเรียนกรณีฝ่าฝืน ม.144 ของ รธน. 60 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ปปช. โดยปัญหานี้เมื่อถูกส่งต่อศาล รธน.แล้ว ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกกวาดเรียบ ส่งผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองของไทย
ประเทศไทยต้องมาก่อน