จากกรณีที่แพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ ล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้มีหนังสือใช้สิทธิวีโต้มติดังกล่าวแล้ว โดยส่งหนังสือถึงแพทยสภาเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา  ทั้งนี้ แพทยสภาจะต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 12 มิถุนายนนี้

วันที่ 29 พ.ค.68 รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทยสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ระบุว่า “ลึกแต่ไม่ลับ (2) พร้อมลงรายละเอียดว่า การประกอบวิชา ชีพเวชกรรม จะมีความรับผิดตามกฎหมายมาเกี่ยวข้อง 3 ประเด็น คือ ความรับผิดทางอาญา ความรับผิดทางแพ่ง และความรับผิดทางจริยธรรม ความรับผิดทางอาญาและแพ่ง อำนาจอยู่ที่อัยการ และผู้พิพากษา

แพทยสภามีหน้าที่ความรับผิดชอบในประเด็นเรื่อง "มาตรฐานวิชาชีพ" และ"ความรับผิดทางจริยธรรม" โดยตรง คดีนี้ทำให้เห็นชัดว่า "ทำไมคดีทางการแพทย์ จึงควรต้องทำคำตัดสินโดยแพทยสภา" หลายเรื่องทางการแพทย์เป็นประเด็นที่เกินกว่าจะใช้ดุลพินิจของวิญญูชนทั่วไปมาทำคำตัดสิน

คดีนี้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจขั้นตอนการทำงานของกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภาได้มากที่สุด  ต้องขอบคุณสื่อที่ช่วยกันนำเสนอแทนแพทยสภา ทำให้ประชา ชนทั่วประเทศเข้าใจว่า "ทำไมถึงต้องให้เวลากับกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภา(ที่เป็นระบบไต่สวน) อย่างเหมาะสม" เพราะข้อบังคับว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีจริยธรรม บังคับให้องค์คณะต้องเปิดโอกาสให้สองฝ่ายนำเสนอหลักฐานอย่างเต็มที่ และองค์คณะมีอำนาจสืบค้นข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีทนาย (ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องทางการแพทย์มากเท่าองค์คณะ) เข้ามาวุ่นวายในกระบวนการนี้

พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม น่าจะเป็นกฎหมายฉบับแรกๆ (หรืออาจจะแรกสุด) ที่ใช้"ระบบไต่สวน"ในการค้นหาความจริงและทำคำตัดสิน องค์คณะผู้ไต่สวน คือ อนุจริย ธรรมและอนุสอบสวนทำงานร่วมกับองค์คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุด ๆของราชวิทยาลัยทางการแพทย์หลายแห่ง เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายนำเสนอพยานหลักฐานเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน องค์คณะเองก็มีความรู้เรื่องราวในประเด็นทาง การแพทย์อย่างดีมาก และน่าจะสูงกว่าคู่ความทั้งสองฝ่าย จึงมีความสามารถในตัวเองที่จะทำความจริงให้ปรากฎโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพยานหลักฐานของคู่ความเพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ทนาย ความหรือคนนอกมานำเสนอ วิธีนี้จะช่วยอุดช่องว่างในด้านข้อมูลข่าวสารที่อาจเป็นการพ้นวิสัยที่คู่ความฝั่งใด ฝั่งหนึ่งจะหามานำเสนอด้วยตนเอง หรือคู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งเจตนาปกปิดไม่นำเสนอ

ปัจจุบันมีกฎหมายหลายอย่างที่ใช้ "ระบบไต่สวน" แทน "ระบบกล่าวหา" เช่น กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร กฎหมาย เกี่ยวกับคดีเด็กและเยาวชน กฎหมายแรงงาน แต่ระบบไต่สวนของแพทยสภา (ความเห็นส่วนตัว) น่าจะเป็นระบบไต่สวนที่แน่นหนาและมีกระบวนวิธีพิจารณาคดีที่รัดกุมมากที่สุด เพราะเรื่องทางการแพทย์เกี่ยวพันกับความปลอดภัยในชีวิตของคนทั้งประเทศ

คดีนี้ทำให้เห็นว่ากรรมการแพทย สภา ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง ล้วนตระหนักในหน้าที่ของตนเองดี ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่แพทย์ด้วยกันก็ยังตั้งคำถามแรงๆใส่กรรมการแพทยสภาและคณะทำงาน แต่ผู้เกี่ยวข้องยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงไปตามขั้นตอนปกติ

มติของคณะกรรมการแพทยสภาที่เป็นผู้ออกคำสั่ง หรือคำตัดสินคดีจริยธรรม หรือมาตรฐานวิชาชีพมีที่มาจากเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า "เท่านั้น" ดังนั้นกรรมการแพทย สภาทุกคนจะไม่สามารถปักธงไว้ล่วงหน้า จนกว่าจะได้ศึกษาสำนวนและคำสรุปของอนุกรรมการทุกชุดจนถ่องแท้ ก่อนทำการโหวตลงมติ หรือแม้จะมีธง แต่เมื่อมีเอกสารหลักฐานเวชระเบียนผลภาพรังสีต่างๆวางอยู่ตรงหน้า จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจตามธง เพราะประเด็นทางการแพทย์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่ทุกการตัดสินใจในการรักษา ต้องมีเหตุผลรองรับ เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศ

ทุกเสียงโหวตล้วนตัดสินใจบน "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" จากเวชระเบียนและจากการไต่สวนที่อนุ กรรมการจริยธรรม อนุกรรมการสอบสวน และอนุกลั่นกรอง "ทำการบ้านมาให้ล่วงหน้า" ก่อนชงให้คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ทำคำตัดสิน (ย้ำว่าคณะกรรมการแพทยสภาเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสิน อนุทุกชุดแค่เป็นคณะทำงาน เป็นที่ปรึกษาเท่านั้น) เดือนๆหนึ่งมีคดีที่แพทยสภาต้องทำคำตัดสินแบบนี้ไม่ต่ำกว่า 30 คดี มากสุด เท่าที่จำได้คือเกือบ60 คดี ทำให้แพทยสภาต้องตั้ง "อนุกรรม การกลั่นกรอง"เข้ามาช่วยงาน

ด้วยเหตุที่อนุจริยธรรมและอนุสอบ สวนล้วนแต่ต้องเป็นแพทย์ ทางแพทยสภาจึงมีมติตั้งอนุกลั่นกรองตามที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับแพทย สภามานับสิบปีแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้คนนอกที่มิใช่แพทย์เข้ามาช่วยถ่วงดุลและนำเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในคดีแต่ละคดี คล้ายๆกับคณะที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุล (check and balance) ภายในองค์กรเอง "อนุกลั่นกรอง" คดีนี้ทำให้คนนอกได้ทราบว่า มิใช่มีแต่แพทย์เท่านั้นที่ทำคำตัดสินจริยธรรมทางการแพทย์ ยังมีคนนอกที่มิใช่แพทย์ (อนุกรรมการกลั่นกรอง) เข้ามาช่วยให้ความเห็นที่สำคัญในทางกฎหมาย ... to be continued ...ลึกแต่ไม่ลับ (3)