เปิดประเดิมไปก่อนใคร ในภูมิภาคเอเชียใต้ สำหรับ “มรสุมฤดูฝน” หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “ฤดูมรสุม” ในประเทศอินเดีย ณ เวลานี้ หลังปรากฏโฉมของฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในหลายพื้นที่ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
กล่าวกันว่า ฝนที่ตกลงมาในอินเดีย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มาเร็วกว่ากำหนดถึง 8 วัน หากว่ากันตามหลักฤดูกาลในอินเดีย ตลอดจนกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้อื่นๆ แล้ว และยังต้องนับว่า เป็นฤดูมรสุมที่มาเร็วกว่ากำหนดแบบเร็วที่สุดในรอบ 16 ปี เลยทีเดียว
แถมมิหนำซ้ำ ก็มิใช่มาเร็วกว่ากำหนดแบบธรรมดาๆ แต่ยังมาแรงที่สุดในรอบกว่า 100 ปี อีกต่างหากด้วย
ตามการเปิดเผยของผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาของอินเดีย ระบุว่า เป็นฝนที่ตกหนักที่สุดในรอบ 107 ปี หากว่าถึงสถิติตัวเลขปริมาณฝนตกในช่วงเดือนพฤษภาคมของอินเดีย เท่าที่เคยบันทึกมา แบบถ้าจะนับถอยหลังเพื่อเปรียบเทียบกันจริงๆ ก็ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าที่อินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษด้วยซ้ำ เพราะอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 1947 (พ.ศ. 2490) หรือจะมีอายุครบ 78 ปีเต็มในกลางเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้
โดยตัวเลขปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาตลอดช่วงสัปดาห์นี้ เฉลี่ยโดยรวมก็อยู่ที่ 400 มิลลิเมตร
ส่งผลให้น้ำท่วมสูงฉับพลันทันทีหลังเกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักเพียงชั่วข้ามคืน ในพื้นที่ 4 เมืองใหญ่ เมืองสำคัญของอินเดีย ได้แก่
กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศ
นครมุมไบ หรือบอมเบย์ เมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเงินของอินเดีย
เมืองเจนไน หรือชื่อเดิม มัทราส เมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑู ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของอินเดีย ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตยานยนต์ หรือยนตรกรรมต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางด้านศิลปการแสดงต่างๆ อีกด้วย
เมืองบังคาลอร์ เมืองเอกของรัฐกรณาฏกะ โดยชื่อเมืองบังคาลอร์แห่งนี้ รู้จักกันดีในฐานะศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นสูง จนถูกยกย่องให้เป็น “ซิลิคอนวัลเลย์แห่งอินเดีย” เลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ เมืองบังคาลอร์ ก็ยังได้ชื่อว่า เมืองทะเลสาบ เนื่องจากมีทะเลสาบใหญ่น้อยหลายสิบแห่ง แต่ปรากฏว่า ก็ยังมิอาจต้านทานพลังปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ได้ โดยน้ำได้ท่วมเมืองแห่งศูนย์กลางทางเทคโนโลยีแห่งนี้แบบจมบาดาลกันเลยทีเดียว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมในอินเดีย นอกจากกล่าวโทษผลกระทบที่ได้รับของ “วิกฤติการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ” หรือ “ภาวะโลกร้อน” แล้ว ก็ยังเอ่ยอ้างถึงระบบการจัดการในการเตรียมตัวก่อนหน้านี้ของทางการในแต่ละเมือง เพื่อรับมือกับฤดูมรสุมที่จะมาถึงก่อนหน้านี้ด้วย
อาทิเช่น การเร่งกำจัดขยะตามท่อระบายน้ำต่างๆ รวมถึงการจัดการกับดินตะกอนที่ทำให้ช่องทางระบายน้ำทั้งหลายเกิดความตื้นเขิน ไม่นับรวมเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ในการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน หรืออินฟราสตรัคเจอร์ต่างๆ จนไปขวางทางน้ำ ส่งผลให้น้ำระบายไม่ทัน เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เมืองสำคัญหลายเมืองของอินเดีย รวมทั้งเมืองหลวง ต้องกลายสภาพจมบาดาลอย่างที่เห็น และถือเป็นบทเรียนให้แก่หลายๆ ประเทศต้องพึงตระหนัก