การกลับมาปรากฏตัวบนเวทีนโยบายสาธารณะของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน สร้างแรงสั่นสะเทือนอีกระลอก โดยเฉพาะเมื่อเขากล่าวระหว่างปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ” ณ สำนักงาน ป.ป.ส. ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างที่ไม่ค่อยเห็นจากบุคคลในสถานะ “ผู้เคยเป็น” มาก่อน

แต่สิ่งที่ทำให้คำพูดของเขากลายเป็นข่าวใหญ่ ไม่ใช่แค่การพาดพิงถึงปัญหาการผลิตยาเสพติดใน เขตรัฐฉานของเมียนมา หรือชื่อ “ว้าแดง” เท่านั้น หากแต่เป็นประโยคที่เปรียบตรงๆ ว่า “หากเมียนมาไม่สามารถจัดการได้ ประเทศไทยอาจต้องจัดการเอง และถ้ายังผลิตอีก ก็จะถือว่าเป็นศัตรู”

นี่คือการขีดเส้นใต้ว่า “ยาเสพติดไม่ใช่แค่ปัญหาอาชญากรรม แต่คือภัยความมั่นคง” ประโยคนี้ไม่ต่างจากการประกาศนโยบายจาก “ผู้นำในเงา”

การกลับมาของ “แนวคิดเชิงรุก” แบบทักษิณ

ถ้อยแถลงของนายทักษิณ ไม่ได้ต่างจากแนวทางที่เขาเคยใช้เมื่อกว่า 20 ปีก่อนในการประกาศ “สงครามยาเสพติด” สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2546 ซึ่งเป็นช่วงที่ปัญหายาบ้าระบาดหนักทั่วประเทศ

แนวทางในครั้งนั้นคือ

ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแม่ทัพหน้า

ขึ้นบัญชีดำผู้ต้องสงสัย

รณรงค์จับกุมทั่วประเทศภายใน 3 เดือน

นโยบายนี้ประสบผลในเชิง “ตัวเลข” อย่างชัดเจน สถิติการจับกุมและของกลางพุ่งสูง ยาบ้าขาดตลาดในหลายพื้นที่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สถิติการเสียชีวิตก็พุ่งไม่แพ้กัน

เงามืดของความสำเร็จ: เมื่อ “ฆ่าตัดตอน” กลายเป็นคำติดปากสังคม

ข้อมูลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และหน่วยงานภาครัฐภายหลังพบว่า มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวกว่า 2,800 ราย ภายใน 3 เดือนแรก

คำอธิบายของรัฐบาลขณะนั้นคือ “เครือข่ายยาเสพติดฆ่ากันเอง” แต่การตรวจสอบในภายหลังพบว่ามีหลายรายที่ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดแรงต้านในวงกว้าง

องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล ประณามว่าไทยใช้วิธีละเมิดสิทธิอย่างรุนแรง

องค์การสหประชาชาติ แสดงความกังวลอย่างเป็นทางการ

สื่อมวลชนในประเทศ เรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม

ยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยน แต่ปัญหายังเดิม

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหายาเสพติดในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเขตชายแดนไทย-เมียนมา ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มติดอาวุธเช่น “ว้าแดง” ที่มีอิทธิพลในการควบคุมการผลิตแอมเฟตามีนจำนวนมหาศาล และส่งออกผ่านเครือข่ายค้าชายแดน

ข้อเสนอของนายทักษิณที่ให้ไทยจัดการเอง หากเมียนมาไม่ร่วมมือ อาจดูสอดคล้องกับการใช้ “นโยบายภายนอกเชิงรุก” แต่ก็ต้องตอบคำถามเชิงกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า การเคลื่อนไหวเช่นนี้จะละเมิดอธิปไตยของเพื่อนบ้านหรือไม่

ระหว่าง "กล้าชน" กับ "ซ้ำรอยอดีต"

คำพูดของนายทักษิณมีพลังทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย มันสร้างความตื่นตัวและส่งสัญญาณให้กับผู้มีอำนาจปัจจุบันว่าปัญหายาเสพติดไม่อาจปล่อยผ่านได้อีกต่อไป

แต่อีกด้านหนึ่ง เส้นแบ่งระหว่าง “ความเด็ดขาด” กับ “ความรุนแรงที่ไร้กลไกตรวจสอบ” ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญจากปี 2546 ที่ไม่อาจละเลยได้

หากจะกลับไปใช้นโยบายเชิงรุกแบบเดิม ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ประเทศไทยได้เตรียมกลไกตรวจสอบ ความโปร่งใส และหลักนิติธรรมไว้อย่างไร

การฟื้นประเด็นยาเสพติดโดยอดีตนายกฯ ที่เคยมีบทบาทอย่างเข้มข้นในสงครามครั้งก่อน สะท้อนถึงความต่อเนื่องของปัญหา แต่ก็สะท้อนคำถามเดิมว่า “ไทยจะเดินหน้าปราบยาเสพติดอย่างไรให้ได้ผล โดยไม่ย้อนรอยบทเศร้าของฆ่าตัดตอน?”

 

#ทักษิณชินวัตร #สงครามยาเสพติด #ว้าแดง #รัฐฉาน #ฆ่าตัดตอน #ยาเสพติดอาเซียน #นโยบายยาเสพติด #วิเคราะห์การเมือง #ปปส #เมียนมา #ข่าวการเมือง #ข่าววิเคราะห์ #ข่าวด่วน