สหรัฐอเมริกากำลังทำลายรากฐานของตนเอง: การห้ามมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างประเทศสื่อให้เห็นถึงระบบการศึกษาที่กำลังล่มสลายและอาจทำให้ความขัดแย้งทางชนชาติเพิ่มมากขึ้น กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันที่ 22 ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามมิให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับสมัครนักศึกษาต่างชาติ เริ่ม ณ ต้นตั้งแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยได้โต้กลับไปว่าคำสั่งเช่นนี้”ขัดต่อกฎหมาย” คริสตี้ โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงของสหรัฐฯ กล่าวในจดหมายถึงมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า จะเพิกถอนใบอนุญาตโครงการนักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยจะมีผลบังคับใช้ทันที ทำให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดฟ้องรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่สองเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเป็นวันหลังจากกระทรวงความมั่นคงของสหรัฐฯ ประกาศว่าจะไม่ให้มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้รับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียน เรามาย้อนทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกัน
1.สรุปเหตุการณ์ : การตอบโต้ระหว่างเสรีภาพทางวิชาการและการเมือง
ต้นเหตุ : ความแตกต่างของจุดยืนในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คลอดีน เกย์ ลาออกเนื่องจากสนับสนุนการประท้วงต่อต้านอิสราเอลของนักศึกษา แม้ว่าประธานาธิบดีคนใหม่ อลัน การ์เบอร์ จะพยายามคลี่คลายความขัดแย้ง แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะให้รัฐบาลทรัมป์ตรวจสอบบันทึกการประท้วงในมหาวิทยาลัยตามที่กำหนด จึงเป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันฮาร์วาร์ด
เกิดความขัดแย้งมากขึ้น : รัฐบาลทรัมป์อ้างถึง "การต่อต้านชาวยิว" เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดปฏิรูปนโยบายการรับเข้าเรียนและโครงสร้างการกำกับดูแล และกดดันโดยกล่าวว่าจะระงับเงินทุนรัฐบาลกลางมูลค่า 9,000 ล้านเหรียญ และหลังจากที่รัฐบาลระงับเงินทุนมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ฮาร์วาร์ดก็ได้ยื่นฟ้อง และความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายก็รุนแรงขึ้น
กลยุทธ์ขั้นสุดท้าย : เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐอเมริกา (DHS) ได้ประกาศเพิกถอนใบอนุญาตของโครงการนักนักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาแลกเปลี่ยน (SEVP) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอย่างกะทันหัน ส่งผลให้นักเรียนต่างชาติ 6,800 คนของโรงเรียนต้องเผชิญกับวิกฤตสภาพนักศึกษาและต้องย้ายหรือออกจากประเทศ DHS อ้างถึง "การละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางซ้ำแล้วซ้ำเล่า" และขอให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดส่งหลักฐานการมีส่วนร่วมของนักศึกษาต่างชาติใน "กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย" ภายใน 72 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสูญเสียใบอนุญาตอย่างถาวร ฮาร์วาร์ดยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลางทันที และผู้พิพากษาเบอร์โรส์แห่งศาลแขวงตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียได้ออกคำสั่งอย่างเร่งด่วนเพื่อระงับการดำเนินการห้ามดังกล่าวเป็นการชั่วคราว แต่เหตุการณ์นี้ได้เปิดเผยถึงวิกฤตการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงระบบการศึกษาของอเมริกา
2.คุณค่าเชิงกลยุทธ์ของนักศึกษาต่างชาติ : เสาหลักแห่งความเป็นผู้นำระดับโลกของอเมริกา
แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ : ด้านนวัตกรรมและการจ้างงาน รวมถึงการมีส่วนสนับสนุนทางเศรษฐกิจโดยตรง ในปีการศึกษา 2023-2024 นักศึกษาต่างชาติ 1.127 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาได้ใช้จ่ายเงิน 43,800 ล้านดอลลาร์สู่ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา รองรับการจ้างงานกว่า 378,000 ตำแหน่ง และงาน 1 ตำแหน่งต่อนักศึกษา 3 คน นักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 87,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ส่งผลให้มีรายได้ 590 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
เชื่อมโยงระหว่างการวิจัยพัมนาและอุตสาหกรรม : นักศึกษาต่างชาติกว่า 56% เลือกสาขาวิชา STEM และคิดเป็น 40% ของนักวิจัยในห้องปฏิบัติการของสหรัฐอเมริกา วิศวกรหนึ่งในสามของ Google และ 28% ของทีม R&D ของ Tesla มาจากนักศึกษาต่างชาติ 35%ของบรรดาสิทธิบัตรใหม่ของซิลิคอนวัลเลย์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาถูกพัฒนาโดยนักศึกษาต่างชาติ
บุคลากรที่มีความสามารถ : เสาหลักสำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีและเอฟเฟกต์ไซฟอนของบุคลากรที่มีความสามารถสูง ในบรรดาผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น MIT และ Stanford ร้อยละ 60 เคยเป็นนักศึกษาต่างชาติ นักศึกษาต่างชาติกว่า 67% อาศัยต่อในสหรัฐฯ หลังจากสำเร็จการศึกษา ซึ่งเป้นเสาค้ำยันตำแหน่งผู้นำของสหรัฐฯ ในสาขาต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม
การสร้างความยอมรับทางวัฒนธรรม : สิ่งที่นักศึกษาต่างชาตินำกลับไปยังบ้านเกิดไม่เพียงแต่เป็นความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นการรับรู้ถึงค่านิยมแบบอเมริกันอีกด้วย ในบรรดาบัณฑิตโครงการ “985” ของจีน ร้อยละ 82 เชื่อว่าประสบการณ์การศึกษาของอเมริกาเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอาชีพการงานของพวกเขา
นิเวศวิทยาด้านวิชาการ : เปิดใจยอมรับและสัมผัสความคิดที่หลากหลาย แพลตฟอร์มการสนทนาต่างวัฒนธรรม นักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาจาก 140 ประเทศ เปรียบเสมือน “สหประชาชาติขนาดเล็ก” สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดต่างวัฒนธรรม การหายไปของมันจะนำไปสู่การทำให้วัฒนธรรมในมหาวิทยาลัยกลายเป็นเนื้อเดียวกันและขาดการสร้างแนวคิดใหม่ๆ
จุดเชื่อมโยงระหว่างประเทศ : ศิษย์เก่าระดับนานาชาติถือเป็นจุดเชื่อมโยงในด้านซอล์ฟพาวเวอร์ของสหรัฐฯ เช่น อัตราการแปลงผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยร่วมชิงหัว-ฮาร์วาร์ดในประเทศจีนสูงกว่าผลงานวิจัยของทีมงานที่ประกอบไปด้วยคนในพื้นที่เท่านั้นกว่า 35%
3.คลื่นกระแทกจากนโยบาย: การล่มสลายของอำนาจครอบงำทางการศึกษาของอเมริกา
การพังทลายความน่าเชื่อถือ : จาก “ความเปิดกว้างและการรวมทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน” สู่ “เครื่องมือทางการเมือง” การเปลี่ยนแปลงนโยบายวีซ่าและการ "ห้ามเรียนออนไลน์" เมื่อปี 2020 บังคับให้นักเรียนต่างชาติ 12,000 คนต้องออกจากประเทศ และ "ประกาศอธิการบดีหมายเลข 10043" เมื่อปี 2025 ยังคงจำกัดการเข้าเมืองของนักเรียนวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของจีน ข้อมูลเผยจำนวนผู้สมัครเรียนต่างชาติไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาในปี 2024 ลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เสรีภาพทางวิชาการถูกบั่นทอน: รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงในการออกแบบหลักสูตรโดยอ้างเหตุผลเรื่อง "ความมั่นคงแห่งชาติ" เช่น การเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันลบมุมมองของชาวปาเลสไตน์ออกจากการศึกษาด้านตะวันออกกลาง และมหาวิทยาลัยโคลัมเบียถูกบังคับให้จ้าง "เจ้าหน้าที่ตำรวจพิเศษ" เพื่อติดตามตรวจสอบมหาวิทยาลัย
การแบ่งแยกทางสังคม : การแข่งขันฐานะทางการเมืองระหว่างอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม กลุ่มอนุรักษ์นิยมตีตรานักศึกษาต่างชาติว่าเป็น "สายลับที่ 5" ในขณะที่กลุ่มเสรีนิยมมองว่าพวกเขาเป็น "สัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติ" เหตุการณ์ฮาร์วาร์ดจุดชนวนให้เกิดการประท้วงร่วมกันจากมหาวิทยาลัย 130 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา นับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ "สงครามปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ"
การมองเห็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ หากนักศึกษาต่างชาติ 10% ออกจากมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนียจะสูญเสียตำแหน่งงาน 280,000 ตำแหน่ง และสถาบัน MIT จะเผชิญกับการขาดเงินทุนสนับสนุนด้านการวิจัย 4.5 พันล้านดอลลาร์
การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านการศึกษาในเอเชีย: พลบค่ำแห่งกฎเกณฑ์เก่า การเปลี่ยนแปลงของตลาดการศึกษาต่อต่างประเทศของจีน: ข้อมูลสาธารณะแสดงให้เห็นว่าในบรรดานักศึกษาชาวจีนที่ศึกษาต่อต่างประเทศในปี 2024 มี 32% เปลี่ยนความคิดการศึกาต่อจากสหรัฐอเมริกาเป็นสหราชอาณาจักร และ 21% หันไปหาสิงคโปร์ จำนวนผู้สมัครเข้าศึกษาต่อต่างประเทศของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์พุ่งสูงขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปีก่อน
การแข่งขันในระดับภูมิภาคมากขึ้น: ออสเตรเลียเปิดตัว “STEM Elite Visa” แคนาดาจัดตั้ง “Global Talent Acceleration Channel” และสัดส่วนบัณฑิตจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียที่ไปสหรัฐอเมริกาลดลงจาก 68% เหลือเพียง 39%
4. ภาพสะท้อนประวัติศาสตร์ : จุดตัดระหว่างความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของอารยธรรม
การสับเปลี่ยนระหว่างการเปิดรับและปิดกั้น ในศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้ดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลกและสร้าง "ยุคทอง" ผ่านกฎหมายมอร์ริล อย่างไรก็ตาม นโยบายต่อต้านชาวต่างชาติในศตวรรษที่ 21 อาจจะทำซ้ำความผิดพลาดเช่นเดียวกับนโยบาย "เมย์ฟลาวเวอร์" ในศตวรรษที่ 17
ความย้อนแย้งระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและการถดถอยระยะยาว รัฐบาลทรัมป์พยายามใช้ "ความมั่นคงแห่งชาติ" เพื่อปกปิดการเสื่อมถอยของคุณภาพการศึกษา แต่หากสูญเสียนักเรียนต่างชาติไป สหรัฐฯ จะสูญเสียผู้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาวิทยาศาสตร์ถึง 50%
การสูญสลายของค่านิยม เมื่อ “หม้อหลอมรวม” กลายเป็น “ตะแกรง” “ความฝันแบบอเมริกัน” ที่สหรัฐอเมริกาภาคภูมิใจก็จะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง คำขวัญของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด “Veritas ความจริงมาก่อนเสมอ” ขัดแย้งกับคำขวัญของรัฐบาล “Loyalty First ความภักดีมาก่อนเสมอ” บ่งบอกถึงวิกฤตการณ์ในกรอบความคิดทางอารยธรรม
บทสรุป การสร้างความเชื่อถือขึ้นมาใหม่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยได้
เหตุการณ์ฮาร์วาร์ดไม่เพียงแต่เป็นวิกฤตการณ์ของระบบการศึกษาระดับสูงของอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นฟูระเบียบอารยธรรมโลกอีกด้วย หากสหรัฐฯ ยังคงนำการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองต่อไป สถานะทางการศึกษาในฐานะ “ผู้ดึงดูดผู้มีความสามารถ”ก็จะพังทลายลงในที่สุด การกลับคืนสู่เสรีภาพทางวิชาการและการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เราหลีกเลี่ยงชะตากรรมของ "การทำลายรากฐานของตนเอง" ได้ สำหรับนักเรียนชาวเอเชีย นี่เป็นทั้งความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญในด้านความเสี่ยงทางการเมือง แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ระบบนิเวศการศึกษาจะเปิดกว้างมากขึ้นและถือกำเนิดบนซากปรักหักพังของระบบการศึกษาเก่าก็ได้
ผู้เขียน : oldtr