ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ไม่ว่าประธานาธิบดีโดนัลทรัมป์ จะตั้งใจจริงหรือเป็นเพียงยุทธวิธีในการแสดงออกถึงความต้องการในการสร้างสันติภาพ ในความขัดแย้งที่สำคัญ 3 แห่ง คือ ความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งฮามาส-อิสราเอล และความขัดแย้ง อิหร่าน-อิสราเอล หรือจะเพิ่มความขัดแย้งปากีสถาน-อินเดีย เข้าไปอีกอันที่สหรัฐฯมีส่วนเข้าไปยุติศึกเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นก็ตาม ล้วนนำมาซึ่งคำถามหลายประการคือ
ทรัมป์จะทำได้ตามที่ตั้งใจหรือไม่ ทรัมป์มีความจริงใจแค่ไหนที่จะช่วยแก้ไขปัญหา หรือเป็นเพียงการแสดง หรือมีวาระแอบแฝงอะไร ตามที่โลกจับตาดู บางอย่างมันก็ไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์พูดหรือแม้กระทั่งมีการเปลี่ยนจุดยืนอยู่บ่อยๆ
พิจารณาความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน แม้จะมีการเจรจากันหลายครั้ง โดยผ่านตัวกลาง คือ สตีฟ วิทคอฟ ผู้แทนของทรัมป์ รวมทั้งการพูดสายโดยตรง ทรัมป์-ปูติน แต่การรบพุ่งระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ก็ยังดำเนินไปอย่างดุเดือด ล่าสุดรัสเซียได้ทำการโจมตีเคียฟอย่างรุนแรงด้วยโดรนและขีปนาวุธ โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ที่เซเรนสกีดำเนินการส่งโดรนไปหวังสังหารปูติน ที่บินมาตรวจการณ์ที่แคว้นคูสซ์ เหตุการณ์โจมตีของรัสเซียทำให้ทรัมป์ผรุสวาทออกมา แต่ก็ไม่มีการกระทำใดๆเกิดขึ้น และการรบก็ดำเนินต่อไป ในขณะที่การเจรจาไม่ว่าทางตรง ทางอ้อม ก็ไม่มีทีท่าจะตกลงกันได้ เพราะมันมีช่องว่างที่กว้างเกินไป ที่สำคัญยุโรปนำโดยสหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศสต่างก็ยังมีท่าทีจะเข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซง และสนับสนุนยูเครนให้รบรัสเซีย
ความยืดเยื้อนี้หลายฝ่ายมองว่าทรัมป์ต้องการซื้อเวลาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศก่อน ส่วนรัสเซียก็ใช้ช่วงเวลานี้ที่มีความได้เปรียบทางทหารรุกคืบหน้าในการยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ยูเครนไม่มีทางเลือกมาก นอกจากเซเรนสกีจะเที่ยวเดินทางขอความช่วยเหลือทางทหารเพื่อต้านทานรัสเซีย
อนึ่งความตึงเครียดระหว่างยุโรป EU-NATO กับรัสเซีย ก็เพิ่มทวีขึ้น แม้สหรัฐฯจะหย่อนสายป่านลง และกดดันให้ยุโรปช่วยตัวเองมากขึ้น ซึ่งแทนที่ยุโรปจะหาทางเจรจาโดยตรงกับรัสเซีย เพื่อสร้างความเข้าใจกันและสร้างสันติภาพ ตลอดจนร่วมมือทางเศรษฐกิจอันจะได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ยุโรปกลับเพิ่มความตึงเครียดด้วยการเผชิญหน้าด้วยท่าทีทางทหาร ประเด็นคือยุโรปควรเน้นการเจรจาปัญหาโดยตรงของยุโรปกับรัสเซีย แทนที่จะนำปัญหายูเครนมาเป็นข้อพิพาท เพราะยูเครนมิได้เป็นสมาชิกอียูหรือนาโต ในขณะที่ยูเครนเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนมาก ต่อความมั่นคงของรัสเซีย ที่เปรียบยูเครน-จอร์เจีย เหมือนประตูบ้านของตน เหมือนสหรัฐฯที่ถือว่าคิวบาคือประตูบ้านของตน
ปัญหาความขัดแย้ง ฮามาส-อิสราเอล และผู้เล่นอื่นๆ เช่น ฮูตี และฮิสบุลลอฮ์ ที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพเจรจายุติศึกแต่ในที่สุดอิสราเอลก็ละเมิดข้อตกลง และทำการโจมตีเข่นฆ่าชาวกาซาอย่างรุนแรงโหดร้าย กักกันความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จน UN ออกมาประกาศว่าจะมีผลทำให้เด็กประมาณ 14,000 คน ต้องอดอาหารตายในเร็ววันนี้
แต่แทนที่อิสราเอลจะยอมผ่อนปรนกลับเพิกเฉย จนในที่สุดก็ปล่อยให้มีรถเข้าไปช่วยเหลือได้ 100 คัน ในขณะที่คน 2 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือ 1,000 คันต่อวัน
นอกจากนี้รัฐมนตรีหัวรุนแรงของอิสราเอล ยังออกมาตอกย้ำถึงเจตนาที่โหดร้านอีก อย่างนายสโมทริช เน้นว่าการปิดกั้นความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม อันทำให้ชาวกาซาอดตายนั้นเป็นสิ่งชอบธรรม ที่จะจัดการกับฮามาสและชาวกาซา ส่วนนายเบนกวีย์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในสหรัฐฯว่าการฆ่าเด็กนั้นถูกต้องแล้ว เพื่อไม่ให้เด็กโตขึ้น แล้วมาข่มขืนหรือเข่นฆ่าชาวอิสราเอลในอนาคต
ในขณะที่ทรัมป์และผู้บริหารต่างนิ่งเฉยต่อการละเมิดข้อตกลงของอิสราเอลที่มีสหรัฐฯเป็นเจ้าภาพ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครดิตของสหรัฐฯในการเป็นเจ้าภาพลดลงไปมาก โดยรัสเซียจะเชื่อถือได้อย่างไรว่าการตกลงหยุดยิงกับยูเครนจะนำมาสู่การสร้างสันติภาพ และความมั่นคงให้รัสเซียอย่างถาวร
อิหร่านนี่ก็กำลังเจรจากับสหรัฐฯเพื่อแลกเปลี่ยนกันระหว่างการไม่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านกับการยกเลิกการแซงก์ชันของสหรัฐฯ ก็หมดความเชื่อถือในการเจรจากับสหรัฐฯไปมาก นอกจากนี้สหรัฐฯ โดยทรัมป์และทีมงานยังได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขมาอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าอาจมีข้อตกลงกันได้อิหร่านจะเชื่อถือได้อย่างไร ถ้าอิหร่านยกเลิกการผลิตอาวุธนิวเคลียร์หรืออาจขยายไปถึงโครงการนิวเคลียร์อื่น เพื่อแลกกับสันติภาพ แล้วต่อมาสหรัฐฯก็ยกเลิกข้อตกลงหรือเรียกร้องอย่างอื่นเพิ่มเติมหลังตกลงกันแล้ว อย่างเช่น ให้ยกเลิกขีปนาวุธ หรือเลิกสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธในตะวันออกกลาง ที่ต่อต้านการคุกคามของอิสราเอลและสหรัฐฯ
ในเรื่องนี้ยังมีคำถามว่าสหรัฐฯสามารถห้ามอิสราเอลมิให้โจมตีอิหร่านได้หรือไม่ หรือยุติการสนับสนุนทางทหารโดยสิ้นเชิง ในการปกป้องอิสราเอง หรือยุติการสนับสนุนทั้งเปิดเผยหรือลับได้หรือไม่
ในกรณีความขัดแย้งปากีสถาน-อินเดีย มันก็มีปัญหาตรงที่สหรัฐฯอาจถูกมองว่ามีความลำเอียงข้างอินเดีย ด้วยแรงจูงใจที่จะดึงอินเดียมาเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์เพื่อปิดล้อมจีน ในขณะที่จีนก็สนับสนุปากีสถานในแง่มุมทางภูมิรัฐศสาสตร์
ดังนั้นสหรัฐฯจึงอาจไม่มีเครดิตพอเพียงที่จะเป็นกรรมการกลางในการห้ามทัพต่อความขัดแย้งที่ละเอียดอ่อน ยาวนานของทั้งอินเดียและปากีสถานได้
นอกจากนี้ความไม่น่าเชื่อถือของการทำตัวเป็นคนกลาง ในการสร้างสันติภาพแล้ว หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากความเป็นพ่อค้าแล้ว ทรัมป์ยังมีจิตวิญญาณของนักล่าอาณานิคม โดยสังเกตจากผู้ที่เขาชื่นชม ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯในอดีต 2 ท่านด้วยกัน
หนึ่งก็คือ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 11 เจมส์ เค โพล์ก ที่ทำสงครามและยึดดินแดนจากเมกซิโก คือแคลิฟอร์เนีย เนเวาดา อริโซนา ยูทาห์ และโคโรลาโด ท่านนี้ทรัมป์ชื่นชมมากถึงขนาดเปลี่ยนรูปประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันออก เอารูปโพล์ก ขึ้นแทน
คนที่สองที่ทรัมป์ชื่นชม คือ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 25 วิลเลียม แมกคินลีย์ รบกับสเปน ชนะได้ครอบครองฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก กวม และคิวบาที่ได้รับอิสรภาพในระยะต่อมา
ความจริงยังขาดอีกคนที่ทรัมป์น่าจะชอบ คือ จอห์น ไทเลอร์ ที่ผนวก ดินแดนรัฐเทกซัสจากเม็กซิโก
ดังนั้นทันทีที่ทรัมป์ขึ้นสาบานตนรับตำแหน่ง ทรัมป์ก็ได้ประกาศว่าจะยึดกรีนแลนด์ คลองปานามา และผนวกแคนนาดา เป็นรัฐที่ 51 อันนับว่าสร้างความตกตลึงแก่ประเทศทั้งหลาย โดยเฉพาะ 3 ประเทศดังกล่าว และนี่ก็เป็นการตอกย้ำว่าทรัมป์หลงใหลในการล่าอาณานิคม เพื่อสร้างให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง (MAKE AMERICA GREAT AGAIN) MAGA
แต่มาวันนี้ทรัมป์อาจต้องเปลี่ยนสโลแกนใหม่เป็น MATA คือ MAKE AMERICA THINK AGAIN โดยเฉพาะการเผชิญกับการต่อต้านจาก 4 สหาย จีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ