“อนุทิน” เด้งรับ “ทักษิณ” ชี้ช่องปราบยาเสพติด ยัน “เนวิน-ทักษิณ” กินข้าว ไม่เกี่ยวรัฐบาล “ปชน.”ซัด “ทักษิณ” เกินเลย ขอปาดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านใช้ปราบยาเสพติด พร้อมจัด “49 ขุนพล” ชำแหละงบ 69 พุ่งเป้า “ซอฟต์พาวเวอร์” หลังตั้งงบก้อนโตหมื่นล้าน ส่วน “วราวุธ” กำชับ “สส.ชทพ.” โหวตงบฯ ทิศทางเดียวกับ “วิปรัฐบาล”
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาถกฐาเรื่องปราบยาเสพติด โดยให้คำแนะกระทรวงมหาดไทย และตำรวจ ประสานความร่วมมือให้มากขึ้น ว่า ถือเป็นสิ่งที่ดีที่นาย ทักษิณแนะนำมา ซึ่งตนและพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรียน วปอ.รุ่น61 รุ่นเดียวกันอยู่แล้ว หากมีอะไรต้องประสานงานกัน ก็โทรหากันอยู่ตลอดเวลาและตนดีใจ หลายสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยได้ทำและกำลังจะทำ ตรงกับแนวทางที่นายทักษิณ ได้พูดไว้ เช่น เอ็กซเรย์หมู่บ้าน โดยกรมการปกครองซึ่งมีส่วนร่วมให้เป็นหมู่บ้านสีขาว ก็ยินดีอยู่แล้ว เราจะผนึกกำลังกับตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และ ป.ป.ส. ส่วนประเทศเพื่อนบ้านทาง รมว.ต่างประเทศ จะไปเร่งเจรจา ความช่วยเหลือว่าจะทำอย่างไร หรือเขาต้องการความช่วยเหลือจากเราอย่างไร เพื่อไปดำเนินการกับแหล่งผลิตยาเสพติดตามแนวตะเข็บชายแดน ซึ่งสิ่งที่นายทักษิณพูดมาก็มีประเด็น เราก็ต้องไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าเขาปล่อยให้มีการผลิตยาเสพติด เข้ามาทำลายความมั่นคงของประเทศไทย เราก็มีสิทธิ์ไปเจรจา และให้การสนับสนุนในการแก้ปัญหาปราบปรามอย่างจริงจัง ถ้าเขาไม่สามารถดำเนินการได้ เราก็จะมาดูว่าจะสนับสนุนได้อย่างไร ถือเป็นแนวคิดที่ดี
เมื่อถามว่า นายทักษิณ ระบุหลายกระทรวงต้องร่วมมือกัน ซึ่งหลายกระทรวงอยู่ในการกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ตนว่าท่านก็บี้ บี้ทุกกระทรวงในฐานะประชาชน เพราะท่านเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ หลายอย่างเราทำมาแล้วก็ตรงกัน แต่ไม่ได้มีโอกาสมาพูดคุย หลายหน่วยงานก็ทำตามแนวทางดังกล่าวอยู่แล้ว ก็มาเสริมในส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการ ทุกฝ่ายก็คงเห็นไปในแนวทางนี้ ส่วนที่นายทักษิณ ระบุให้นำงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน มาแก้ปัญหายาเสพติดนั้น เป็นแนวทางที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางนี้อยู่แล้วในส่วนของงานความมั่นคง
เมื่อถามว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่านายทักษิณ เป็นนายกฯ ตัวจริง นายอนุทิน กล่าวว่า คนวิพากษ์วิจารณ์ก็วิพากษ์วิจารณ์ไป แต่ตนว่าเราก็ต้องฟังประชาชนทุกคน โดยเฉพาะประชาชนที่มีประสบการณ์ เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยกลัวมาโดยตลอด การที่ป.ป.ส.เชิญนายทักษิณ มาบรรยายเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถือเป็นสิ่งที่ดี
เมื่อถามว่า มีโอกาสจะลงพื้นที่ร่วมกับนายทักษิณ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าไปเรื่องยาเสพติด ตนจะไปเพราะเป็นการทำงานร่วมกัน ตนต้องไปอยู่แล้ว เหมือนกับการทำงานด้วยกัน และนายทักษิณไม่ได้ลงเอง ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือ ทุกฝ่ายต้องไม่เกี่ยงกันทำงาน หน่วยไหนไปถึงก่อยถ้าเจอซึ่งหน้าก็ต้องฟาดกันซึ่งหน้า
เมื่อถามว่า ภาพที่นายทักษิณกอดคอนั้น เป็นการกลบข่าวเอาพรรคภูมิใจไทย ออกจากรัฐบาลหรือไม่นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเคยบอกแล้วว่าไม่มีใครรู้ดีกว่าผู้เล่น นักวิเคราะห์นักวิจารณ์นักคาดคะเนอะไรทั้งหลาย เอาล่ะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ข้อเท็จจริงคือมันไม่ใช่การแสดง ความสัมพันธ์จริงๆเป็นแบบที่เห็นในภาพ และภาพที่ตนติดนายทักษิณเลยนั้น ก็เพราะเป็นรองนายกฯ เช่นเดียวกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ก็ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง อย่าคิดมากเลย
เมื่อถามว่า จะชวนนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ภูมิใจไทย ไปทานข้าวกับนายทักษิณ ตามวงรอบอีกหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า นายเนวินไม่ค่อยอยู่กรุงเทพฯ ส่วนนายทักษิณก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะให้เราเป็นคนไปคอยนัดไม่ได้หรอก ต้องให้เกียรติกัน คนนับถือกัน เป็นเรื่องของเขาคุยกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล การเมืองเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค รองนายกฯ และรัฐมนตรี
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.)เป็นประธานที่ประชุมสส.ของพรรคชาติไทยพัฒนา โดยนายวราวุธกำชับที่ประชุมให้เข้าร่วมประชุมสภาในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2569 ที่ คณะรัฐมนตรีเสนอ กันอย่างพร้อมเพรียง สำหรับการลงมติก็ให้โหวตไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเอกภาพของพรรคชาติไทยพัฒนา โดยเชื่อว่าจะเป็นไปตามมติร่วมของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า พรรคประชาชนเตรียมผู้อภิปรายไว้ 49 คน โดยใช้หัวข้อ “ช่วยรัฐบาลหางบประมาณ” ซึ่งจะตัดในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น เรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชั่น การใช้งบประมาณไม่เหมาะสม ไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่จำเป็นในช่วงนี้ที่สามารถชะลอออกไปก่อนได้ ทั้ง ปรับ ลด เลื่อน งบประมาณ และประเด็นการจัดสรรงบประมาณตามปกติ ที่ต้องดูถึงความเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข สวัสดิการ เกษตร และปากท้องของประชาชน ช่วงเริ่มต้นของการอภิปรายจะมุ่งเน้นไปที่ภาพรวมว่ามีส่วนไหนสามารถที่จะปรับปรุงวิธีการและลดปัญหาเรื่องการคอรัปชั่น จัดลำดับความสำคัญของโครงการใหม่ จัดเอาโครงการที่จำเป็นมาใช้ก่อน
เมื่อถามว่างบประมาณ 2569 ตอบโจทย์กับเศรษฐกิจตอนนี้หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ไม่ได้ตอบโจทย์ ยังเป็นงบประมาณตามปกติ เหมือนหลับไปตั้งแต่มีโควิด - 19 ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่างบประมาณนี้จัดในช่วงที่ต้องสู้กับสงครามการค้า เราไม่ได้โทษรัฐบาลนี้เสียทีเดียว เพราะไม่มีใครคิดว่าตอนต้นปีในวันที่จัดทำงบประมาณจะต้องเผชิญกับอะไร แต่ก็ต้องเห็นเค้าลางในหลายเรื่อง และเมื่อมาดูงบประมาณที่จัดไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปีที่แล้วไม่ได้มีเหตุการณ์อะไร จัดไว้ 200,000 ล้านบาท แต่ปีนี้เหลือ 20,000 ล้านบาท กองทุน FTA ที่เอาไว้ช่วยเหลือเกษตรกรไม่ได้จัดไว้ ต้นปีรู้แล้วว่าทรัมป์จะมา แต่ก็ไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณไว้ กองทุนที่เอาไว้ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้งบประมาณเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท กองทุนช่วยเหลือเกษตรกรกลับถูกลดงบประมาณ ทั้งที่เกษตรกรเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
“ส่วนโครงการอื่นหน้าตาเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด บางโครงการพุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น โครงการที่เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ ปีนี้เกือบ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเดี๋ยวจะได้เห็นพรรคประชาชนวิเคราะห์งบประมาณซอฟต์พาวเวอร์กันว่าอย่างไร ตรวจผลงาน 2 ปีที่ผ่านมาเปเนอย่างไรพร้อมที่จะอนุมัติงบประมาณหมื่นล้านให้กับซอฟต์พาวเวอร์หรือไม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบนี้” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุให้แบ่งงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทไปปราบปรามยาเสพติด น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ชักจะเกินเลย คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติออกมาแค่ 4 หลักการ หากจะมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำคือ การกระตุ้น การลงทุนภาคเอกชน แต่ถ้าเอาไปใช้เรื่องแก้ปัญหายาเสพติดคิดว่า เกินเลยไปเยอะ เพราะยังมีเม็ดเงินในงบกลาง 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งให้นายทักษิณไปขอ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ จัดงบกลางมาใช้ในการปราบปรามยาเสพติด ตนไม่ได้บอกว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดไม่สำคัญ แต่ควรต้องใช้งบประมาณให้ถูก อย่าใช้ปะปนกันไปหมด
เมื่อถามว่างบประมาณดิจิทัลวอลเล็ตที่โยกไปยัง 4 โครงการ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สมเหตุสมผลหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า สำหรับงบประมาณ 157,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณของปี 2568 เหมือนเป็นกระสุนก้อนสุดท้ายของงบปี 2568 ในการกระตุ้นจีดีพีของปี 2568 ด้วย 4 เรื่อง ที่รัฐบาลอยากทำเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น เป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง น้ำ คมนาคม กระตุ้นการท่องเที่ยว ช่วยเหลือการส่งออก ในและลงทุนในเศรษฐกิจชุมชนต่างๆ ซึ่งตามหลักการถูกต้องทุกประการ แต่ขึ้นอยู่กับกระบวนการมากกว่า ซึ่งสุดท้ายแล้วรัฐบาลเปิดให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง อปท. และท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ส่งโครงการเข้ามา แต่ไม่ได้มีหลักเกณฑ์อะไรเลย นั่นหมายความว่า รัฐบาลไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าว่าอยากเห็นโครงการประมาณไหน ขนาดไหน กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร สร้างงานเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ รัฐบาลไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย แถมกระบวนการจำกัดเวลาค่อนข้างสั้น รอบแรกที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติทำแค่วันเดียว แต่ต้องเลื่อน เนื่องจากระบบล่ม ทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้นจนถึงวันที่ 26 พ.ย. 2568
“สะท้อน ว่า รัฐบาลไม่ได้เตรียมการอะไรล่วงหน้า ไม่มีโครงการในใจ อยากเห็นเศรษฐกิจถูกกระตุ้นด้วยวิธีการอะไร จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ซ้ำรอย ที่ใช้งบประมาณตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น พระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เงินกู้ 1.5 แสนล้านบาท ที่รอบแรกมีแผนฟื้นฟู 1 ล้านล้านบาท แต่ใช้ไม่หมด รอบที่สอง 170,000 ล้านบาท ก็ถูกใช้แบบเบี้ยหัวแตก ไม่ได้มุ่งเศรษฐกิจในชุมชนจริง หลายๆโครงการไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ นี่คือบทเรียนที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่คิดว่ารัฐบาลจะลืมไปได้ง่าย และไม่คิดที่จะถอดบทเรียน เพื่อที่จะแก้ปัญหาไม่ให้เกิดการซ้ำรอยอีก” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว