ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี มักจะถูกจับตาด้านปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพฯ จากรายงาน พบว่า วันที่ 6 กันยายน 2565 มีฝนตกถึง 170 มม. ที่เขตบางเขน ถือเป็นปริมาณฝนสูงสุดในรอบ 20 ปี โดยช่วงวันที่ 1 มกราคม-30 กันยายน 2565 มีปริมาณฝนสะสมถึง 1,979.5 มม. เทียบกับปี 2564 ในช่วงเดียวกันมีปริมาณ 1,556 มม. และมากกว่าค่าเฉลี่ยฝน 30 ปี (2534 – 2563) ถึง 46.7% ที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยอยู่ที่ 1,348.9 มม. เฉพาะเดือนกันยายน 2565 เดือนเดียวมีปริมาณน้ำฝนถึง 801.5 มม. เทียบกับค่าเฉลี่ย 30 ปีในเดือนกันยายนที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยอยู่ที่ 322.6 มม. หรือมีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยคิดเป็น 148.5% โดยตลอดทั้งเดือนมีฝนตกทั้งหมด 38 ครั้งใน 28 วัน โดยฝนส่วนใหญ่ก่อตัวในพื้นที่กรุงเทพฯ 63.79%
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม.นำข้อมูลปริมาณฝนในปี 2565 มาเป็นบรรทัดฐานเรื่องการจัดการน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ เนื่องจาก ปี 2565 มีปริมาณฝนมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีแรกที่รับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แต่เดิมมีจุดเสี่ยงน้ำท่วม 12 จุด แต่หลังฝนตกในเดือนกันยายน 2565 สำรวจพบจุดเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่มเป็น 737 จุด ปัจจุบันปี 2568 กทม.ปรับปรุงไปแล้วร้อยละ 70 แบ่งเป็น แก้ไขแล้วเสร็จบางส่วน 133 จุด อยู่ระหว่างแก้ไข 221 จุด แก้ไขแล้วเสร็จ 383 จุด เชื่อว่าที่ผ่านมาแก้ไขจุดเสี่ยงน้ำท่วมได้ดีขึ้น เนื่องจาก กทม.กำหนดให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ อยู่ในตัวชี้วัดของแต่ละเขต เช่น การลอกท่อ ขุดลอกคูคลอง และการแก้ปัญหาน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่เขต ซึ่งมีการติดตามตัวชี้วัดทุกเดือน จึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
สำหรับปีนี้ฤดูฝนมาเร็ว และตกหนักเป็นหย่อม โดยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีฝนตกที่เขตบางเขนถึง 146 มม. ส่งผลให้น้ำท่วมหลายจุด เช่น วงเวียนหลักสี่ ใช้เวลาระบายน้ำประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนจุดที่มีน้ำท่วมหนักที่สุดคือ ถนนวิภาวดีฯ ขาเข้า ช่วงซอย 58 ถึง 64 มีการปรับปรุงคูน้ำริมถนน ซึ่งถนนวิภาวดีฯ อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง การปรับปรุงคูน้ำดังกล่าวจำเป็นต้องปิดกั้นทางระบายน้ำเพื่อก่อสร้าง ทำให้น้ำจากถนนวิภาวดีฯ ระบายลงคลองบางเขนและคลองหลักสี่ไม่ได้ เป็นสาเหตุให้น้ำท่วม โดย กทม.ต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เชื่อว่าเมื่อปรับปรุงเสร็จแล้ว จะช่วยให้การระบายน้ำดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนจุดน้ำท่วมถนนวิภาวดีฯ เป็นจุดเสี่ยงที่ กทม.เฝ้าระวังมาต่อเนื่อง เพราะเป็นจุดหนึ่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่เนื่องจาก กทม.ไม่มีอำนาจสั่งการในจุดนี้ จึงต้องคอยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยเหลือในส่วนที่ กทม.ทำได้ เช่น ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และการหาทางเปิดทางระบายน้ำเพิ่มเติม จนกว่าจะมีการก่อสร้างแล้วเสร็จ
ด้านนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวแนวทางบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า จากปริมาณฝนในเดือนกันยายน 2565 สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 30 ปี ประมาณ 2.8 เท่า กทม.จึงเน้นใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยควบคู่กับการพัฒนาด้านอื่นพร้อมกัน โดยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลน้ำท่วมจากช่องทางต่าง ๆ เช่น เรื่องร้องเรียนจากทราฟฟี่ ฟองดูว์ จากเซ็นเซอร์แจ้งเตือน จากการรายงานของแต่ละเขต นำมารวบรวมเป็นแผนที่จุดเสี่ยงน้ำท่วม 737 จุด และศึกษาแนวทางแก้ไขในแต่ละจุด ซึ่งมีปัญหาแตกต่างกัน โดยเฉพาะปัญหาการระบายน้ำจากผิวถนนลงท่อ และจากท่อลงคลอง จากการศึกษาพบว่า มีปัญหาจากน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุน 120 จุด ปัญหาจากน้ำฝน 144 จุด ปัญหาน้ำท่วมจากน้ำฝน 473 จุด ซึ่งได้แก้ไขเสร็จแล้ว 383 จุด
ด้านการพยากรณ์อากาศ มีความสำคัญในแง่การจัดเตรียมทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาได้ทัน จากเดิมที่มีเรดาร์ 2 จุด คือ เรดาร์หนองจอกและหนองแขม ซึ่งเป็นการระบุข้อมูลเมฆฝนที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การเตือนล่วงหน้า กทม.จึงประสานกับกรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยงานจากประเทศญี่ปุ่น ในการทำแบบจำลอง พยากรณ์ฝนล่วงหน้า 1-3 ชั่วโมง โดยใช้ข้อมูลจากเรดาร์และข้อมูลจาก ai ในการวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ฝน จุดประสงค์เพื่อการสั่งการเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้า นอกจากนี้ยังจัดตั้งศูนย์ควบคุมข้อมูลระบบป้องกันการระบายน้ำ ซึ่งมีการติดตามข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง โดยรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานและอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งเพิ่มเติม ได้แก่ ระบบตรวจวัดระดับน้ำในคลอง 280 จุด ระบบควบคุมและตรวจสอบเครื่องสูบน้ำ 62 จุด ระบบตรวจวัดน้ำท่วมถนน 248 จุด และหน่วยเคลื่อนที่เร็ว
“ระบบระบายน้ำในกรุงเทพฯ เป็นแบบปิดล้อม โดยระบายน้ำจากผิวถนนลงท่อ ก่อนระบายลงคลองและแม่น้ำเจ้าพระยาตามลำดับ ใช้สถานีสูบน้ำเป็นเครื่องมือหลักในการระบายน้ำออก การติดตั้งระบบตรวจวัดระดับน้ำในคลองจึงมีความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำแบบเรียลไทม์ ในอนาคตมีแนวคิดนำ ai มาช่วยวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฝนตก ณ เวลานั้น กับจุดน้ำท่วม ณ บริเวณนั้น เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และแก้ปัญหาให้ตรงจุดมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนา AI ดังกล่าว คาดว่าจะนำมาใช้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยสิ่งสำคัญในการบริหารจัดการน้ำของ กทม. คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยเฉพาะการนำข้อมูลจากเทคโนโลยีมาประกอบการตัดสินใจและสั่งการ รวมถึงการวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมแต่ละจุดต่อไป” นายวิศณุ กล่าว